ไดโนเสาร์กระดาษ
บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) หรือชื่อในปัจจุบัน บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) เคยถูกตั้งฉายาเมื่อ 30 ปีก่อนตอนที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งแรกว่าเป็น “เสือกระดาษ” แต่ก็ถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้นเมื่อต่อมาราคาหุ้นของบริษัทเคยวิ่งขึ้นไปถึงกว่า 1 พันบาทต่อหุ้น
พลวัตปี 2020 : วิษณุ โชลิตกุล
บริษัท โพสต์ พับลิชชิง จำกัด (มหาชน) หรือชื่อในปัจจุบัน บริษัท บางกอก โพสต์ จำกัด (มหาชน) เคยถูกตั้งฉายาเมื่อ 30 ปีก่อนตอนที่เข้ามาระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ครั้งแรกว่าเป็น “เสือกระดาษ” แต่ก็ถูกลืมเลือนไปจนหมดสิ้นเมื่อต่อมาราคาหุ้นของบริษัทเคยวิ่งขึ้นไปถึงกว่า 1 พันบาทต่อหุ้น
ถึงวันนี้ POST น่าจะได้รับฉายาใหม่เป็น “ไดโนเสาร์กระดาษ” เพราะอนาคตของบริษัทกำลังหมิ่นเหม่อย่างมากจากการที่ส่วนผู้ถือหุ้นใกล้จะติดลบไปทุกขณะ
เหตุผลเพราะสื่อสิ่งพิมพ์ (หนังสือพิมพ์รายวันภาษาอังกฤษ Bangkok Post) ที่เคยเป็นรายได้หลักของบริษัทมีตัวเลขขาดทุนต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 5 ปีติดต่อกัน
ล่าสุดเมื่อสิ้นไตรมาสสามของปีนี้ ตัวเลขส่วนผู้ถือหุ้นของบริษัทเหลืออยู่เพียงแค่ 47.77 ล้านบาท จากทุนจดทะเบียน 500 ล้านบาท มีตัวเลขขาดทุนสะสมที่ 1,488 ล้านบาท เรียกว่าหากไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ขาดทุนอีกเกินกว่า 48 ล้านบาท หุ้น POST จะเข้าข่ายเป็นบริษัทที่ล้มละลาย ถูกแขวนเครื่องหมาย SP ห้ามการซื้อขายทันที
ไตรมาสสามที่ผ่านมา ตัวเลขขาดทุนสุทธิของบริษัทดีขึ้นแต่ก็ยังคงขาดทุนต่ออีก 64 ล้านบาทเศษ ผู้บริหารบริษัทจาก ตระกูลจิราธิวัฒน์ ที่เป็นผู้ถือหุ้นใหญ่มากกว่า 40% รายงานว่าในไตรมาสสามนี้ มีรายได้จากการขายและบริการรวมสำหรับไตรมาสจำนวน 126.30 ล้านบาท เปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนจำนวน 209.10 ล้านบาท ลดลง 82.80 ล้านบาทหรือคิดเป็นอัตราลดลงร้อยละ 39.60 สาเหตุหลักเกิดจาก การชะลอตัวของสภาวะเศรษฐกิจโดยรวม อันเป็นผลมาจากสถานการณ์ภาวะวิกฤติจากการแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19 รายได้ของสื่อสิ่งพิมพ์องค์กรและโฆษณารวมลดลงมากถึงร้อยละ 55.3 ในขณะที่รายได้จากส่วนงานผลิตรายการโทรทัศน์สำหรับไตรมาส ก็ลดลงร้อยละ 18.7
แม้ว่าด้านค่าใช้จ่ายที่ลดลงทั้งจากการดำเนินงาน และการพยายามลดต้นทุนจะลดลงไป แต่เมื่อเทียบกับการลดลงของรายได้แล้ว ยังไม่สามารถชดเชยได้
ตัวเลขการขาดทุนทั้งสื่อเก่าที่เป็นสิ่งพิมพ์และสื่อใหม่อย่างโทรทัศน์ที่เป็นขาลงต่อเนื่องทำให้อนาคตของค่ายสื่อที่เคยยิ่งใหญ่และทรงอิทธิพลยาวนาน เหลือแค่ตำนานอันหมิ่นเหม่ว่า จะเพิ่มทุนเพื่อต่ออายุ หรือขายกิจการทิ้งเปิดช่องให้รายใหม่เข้ามาดำเนินงานต่อ
คำตอบยังไม่มีในขณะนี้ แต่จะอยู่ต่อไปในสภาพนี้ ก็สิ้นไร้อนาคตอยู่ดี
กรณีที่ POST เผชิญอยู่นี้ ถือเป็นภาวะ “ตกเป็นเหยื่อของสถานการณ์” ที่ยากจะหลบเลี่ยงได้บางส่วน แต่อีกด้านหนึ่งเกิดจากความเชื่องช้าอืดอาดในการปรับตัวเพื่อความอยู่รอดเองชนิดที่ยากจะกล่าวโทษใครได้ นอกจากตัวผู้บริหารเอง
ประเด็นนี้เข้าใจได้ไม่ยากเพราะตระกูลจิราธิวัฒน์ นั้น ไม่ได้มีธุรกิจหลักด้านการทำสื่อโดยตรงตั้งแต่แรก และยังมีธุรกิจหลักคือค้าปลีกรายใหญ่ที่ต้องกำกับดูแล ความไม่ถนัดและกำกับดูแลอย่างไม่เข้มงวดจริงจัง อาจจะเป็นจุดด้อยที่ทำให้การปรับตัวทำได้ล่าช้าเกินไปชนิด “พรุ่งนี้ก็สายเสียแล้ว”
อิทธิพลของสื่อรายวันฉบับภาษาอังกฤษที่ชนชั้นสูงของประเทศกูมี (เคย) เกรงใจ ลดทอนลงจนแทบไม่มีเหลืออีกแล้ว (ดูได้จากรายชื่อผู้ถือหุ้นรายใหญ่ที่ลดความหลากหลายของกลุ่มทุนใหญ่ที่ต้องการใช้สื่อสร้างพาวเวอร์ในสังคมอย่างชัดเจน) เหลือทิ้งไว้แต่ตำนานกว่า 60 ปีที่รอวันถูกลืม
บทเรียนจากกรณีที่เกิดขึ้นถือเป็นโศกนาฏกรรมที่ชัดเจน แต่คนที่จะร่วมวงเศร้าเสียใจด้วย ก็ลดน้อยในวงแคบ ๆ เท่านั้น
ราคาหุ้นที่ระดับล่าสุด 1.20-1.30 บาท เทียบกับราคาตามบุ๊กแวลู 0.10 บาท ถือว่าคนที่คิดจะเข้าถือเป็นนักเสี่ยงภัยสุดยอดมาก สำหรับหุ้นที่มีสิทธิ์และโอกาสถูกแขวนป้าย SP ใน 3 เดือนข้างหน้า
ยามนี้ราคาหุ้น POST ที่ระดับเท่าใด ล้วนแพงเกินที่จะถือไว้ทั้งสิ้น เว้นแต่จะมีปาฏิหาริย์บางประการ เช่นมีกลุ่มทุนใหม่เข้ามาซื้อกิจการไปทำ หรือเกิดนวัตกรรมใหม่ที่ทำให้กลับมีกำไรต่อเนื่องเป็นกอบเป็นกำ
พ้นไปจากนี้ ถือว่าสุ่มเสี่ยงทั้งสิ้น