พาราสาวะถี

การชุมนุมบริเวณห้าแยกลาดพร้าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อ “ซ้อมต้านรัฐประหาร” คำถามสำคัญคือมันมีสัญญาณแรงถึงขนาดนั้นหรือไม่ คงยากที่ใครจะคาดเดาได้ แต่หากอ่านจากกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร นี่เป็นการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายที่คิดจะใช้วิธีการแบบเดิมในการเข้ามาแก้ไขปัญหาทางการเมือง ให้ตั้งสติให้ดี ยึดอำนาจนับแต่นี้ต่อไปจะไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะทันทีที่มีการก่อการฟันธงได้ว่าจะมีคนออกมาต่อต้านในทันใดเหมือนกัน


อรชุน

การชุมนุมบริเวณห้าแยกลาดพร้าวเมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมาเพื่อ ซ้อมต้านรัฐประหาร” คำถามสำคัญคือมันมีสัญญาณแรงถึงขนาดนั้นหรือไม่ คงยากที่ใครจะคาดเดาได้ แต่หากอ่านจากกระบวนการเคลื่อนไหวของกลุ่มราษฎร นี่เป็นการส่งสัญญาณไปยังฝ่ายที่คิดจะใช้วิธีการแบบเดิมในการเข้ามาแก้ไขปัญหาทางการเมือง ให้ตั้งสติให้ดี ยึดอำนาจนับแต่นี้ต่อไปจะไม่ง่ายเหมือนเดิม เพราะทันทีที่มีการก่อการฟันธงได้ว่าจะมีคนออกมาต่อต้านในทันใดเหมือนกัน

การรัฐประหารสองครั้งที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการรัฐประหารแบบจำใจต้องทำและการรัฐประหารทุบโต๊ะ ล้วนแล้วแต่เห็นร่องรอยของการเตรียมการไว้อย่างแยบยล ขณะเดียวกันวิธีการป้องกันการเคลื่อนไหวต่อต้านมันก็ง่ายโดยเฉพาะในการก่อการครั้งล่าสุด ฐานมวลชนในการต่อต้านหลักคือเสื้อแดงซึ่งแกนนำในเวลานั้นถูกควบคุมตัวไว้ทั้งหมด ขณะที่แนวร่วมส่วนใหญ่ก็อยู่ในต่างจังหวัด ดังนั้น การจะลุกขึ้นมาแสดงออกและรวมตัวกันก็เป็นไปได้ยาก

สำหรับคณะราษฎรแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง เพราะทุกคนคือแกนนำ ที่สำคัญคือฐานมวลชนหลักอยู่ในกรุงเทพมหานคร หากมีการก่อรัฐประหารด้วยการที่กลุ่มราษฎรได้เคลื่อนไหวแสดงพลังอย่างต่อเนื่องมานับตั้งแต่เดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา แสดงให้เห็นแล้วว่าคนเหล่านี้พร้อมที่จะออกมาต่อต้านอำนาจเผด็จการทุกรูปแบบ และเราก็ได้เห็นเช่นกันว่า หลังจากที่มีการประกาศรวมตัวกันไม่ว่าเตรียมการก่อนหน้าหรือแบบกระทันหัน คนเหล่านั้นสามารถไปถึงจุดนัดหมายได้ในเวลาอันรวดเร็วและหนาแน่น

นั่นจึงเป็นโจทย์ยากสำหรับคนที่คิดจะก่อการ ไม่เพียงเท่านั้น มาจนถึงเวลานี้ยังมองไม่เห็นปัจจัยที่จะนำไปสู่การรัฐประหาร แต่การขยับของกลุ่มราษฎรในลักษณะเตรียมความพร้อม ด้านหนึ่งคือการส่งสัญญาณ แต่อีกด้านหนึ่งคือการซักซ้อมเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการนัดหมายชุมนุมใหญ่ ที่คาดว่าหลังจากศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยคดีอยู่บ้านพักหลวงหลังเกษียณของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไปแล้ว นั่นจะเป็นอีกหนึ่งจุดชี้วัดว่าการขับเคลื่อนของม็อบจะดำเนินต่อไปอย่างไร

แน่นอนว่า โอกาสน้อยนิดที่คนส่วนหนึ่งคาดหวังคือ ศาลรัฐธรรมนูญจะใช้จังหวะที่ประเทศเกิดวิกฤติในยามนี้ตัดสินไปในทิศทางเพื่อคลี่คลายสถานการณ์และป้องกันการรัฐประหารไปในตัวนั่นก็คือ ชี้ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจผิด ซึ่งนั่นก็น่าจะทำให้ผ่อนคลายวิกฤติต่าง ๆ ที่กำลังเขม็งเกลียวอยู่ในเวลานี้ แต่ถ้ามองโลกจากความเป็นจริงจะเห็นได้ชัดว่ามันไม่มีทางที่จะเป็นเช่นนั้น คงไม่ต้องสาธยายกันให้มากความว่าเป็นเพราะอะไร

มิเช่นนั้น วิษณุ เครืองาม คงไม่ประกาศไว้ตั้งแต่ไก่โห่วันที่ 3 ธันวาคม จะมาพูดในเชิงให้ความรู้ต่อเรื่องนี้ทั้งหมด แม้จะออกตัวก่อนว่าไม่อยากพูดล่วงหน้าเพราะจะเข้าข่ายการชี้นำศาล แต่การส่งซิกเช่นนี้คนก็เข้าใจตรงกันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า ยังไงก็รอด” เมื่อเป็นเช่นนั้น ก็หมายความว่าทางกลุ่มผู้ชุมนุมก็ย่อมที่จะเพิ่มความเข้มข้น ยกระดับการชุมนุมอย่างต่อเนื่องเพื่อกดดันให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยอมลาออกจากตำแหน่งและเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางบริหารให้ได้

อย่างไรก็ตาม สัญญาณที่จับได้จากขบวนการสืบทอดอำนาจโดยการประกาศลั่นห้ามมีการแก้ไขรัฐธรรมนูญในแต่ละเรื่องซึ่งถูกมองว่าเป็นปัญหาจนนำมาซึ่งการเสนอแก้ไขในเวลานี้ จากปากของ ไพบูลย์ นิติตะวัน นั่นเป็นการแสดงให้เห็นว่า ฝ่ายกุมอำนาจไม่ได้มีความจริงใจในการแก้ไขปัญหาทั้งปวง การแสดงออกในลักษณะเช่นนี้ ด้านหนึ่งคือการท้าทายฝ่ายชุมนุมเรียกร้อง ด้านหนึ่งคือการแสดงให้เห็นว่ายังไงก็ไม่มีใครที่จะล้มผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพทั้งหมดได้

ไม่เพียงเท่านั้น วิรัช รัตนเศรษฐ ประธานวิปรัฐบาลในฐานะประธานกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยังระบุไทม์ไลน์ของการแก้ไขด้วยว่า น่าจะผ่านกระบวนการในวาระ 3 ในเดือนกุมภาพันธ์ปีหน้า สวนทางกับสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจประกาศเมื่อคราวประชุมรัฐสภาสมัยวิสามัญว่าจะให้กระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญแล้วเสร็จภายในเดือนธันวาคมนี้ นี่คือเล่ห์เหลี่ยมของขบวนการอำนาจสืบทอด

ขณะที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็พล่ามบอกแต่เรื่องของการเคารพกฎหมาย ทั้งที่หลายเรื่องเป็นการเขียนขึ้นมาเพื่อให้ตัวเองและพวกพ้องได้ประโยชน์ โดยที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้มีส่วนร่วม ซึ่งสิ่งนี้จะโทษท่านผู้นำเสียทีเดียวไม่ได้ อย่างที่เคยบอกไว้แล้วว่า คุณสมบัติสำคัญประการหนึ่งของพวกเผด็จการคือความหน้าทนอย่างหนา การตีมึนและอ้างกันแบบนี้ จึงเป็นวิธีการที่เลือกใช้มาตลอดระยะเวลากว่า 6 ปีโดยมีเนติบริกรข้างกายคอยวางแผนให้ตลอดเวลา

ล่าสุด กับคำพูดที่ว่าวันไหนได้ทำอะไรที่ไม่มีปัญหา ตนก็มีความสุข ตราบใดที่ประเทศชาติยังไม่เรียบร้อยอะไรคนเป็นนายกฯ คนเป็นรองนายกฯ และคนเป็นรัฐมนตรีไม่มีความสุข เพราะเห็นคนไทยไม่มีความสุข แต่ความสุขมันต้องอยู่ในกรอบที่มันควรจะเป็น ตามหน้าที่ สิทธิเสรีภาพ ความรับผิดชอบ กฎหมาย และกระบวนการยุติธรรม ไม่อย่างนั้นประเทศตีกันตายใช่ไหม ก็น่าหัวร่อเหมือนกัน แล้วตอนที่มีอำนาจเต็มมือ ไม่มีความเคลื่อนไหวต่อต้านใด ๆ ทำไมคนไทยก็ยังเป็นทุกข์กันอยู่เรื่อยมา

นั่นหมายความว่า ความสุขที่คนไทยรออยู่นั้นไม่ได้หมายถึงการแจกกันสะบั้นหั่นแหลก แต่ท้ายที่สุดผู้ที่ได้ประโยชน์เต็ม ๆ ก็คือนายทุน เจ้าสัวทั้งหลาย ความสุขที่แท้จริงจะเกิดขึ้นได้ มันไม่ใช่เรื่องของการที่จะต้องทำตัวอยู่ในกรอบ ใช้สิทธิเสรีภาพตามกฎหมายและกระบวนการยุติธรรม หากแต่มันอยู่ที่ฝีมือและความสามารถของคนที่มาเป็นผู้นำประเทศ ถ้าบริหารอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาให้กับประชาชนได้อย่างถูกต้องและทั่วถึง ต่อให้มีม็อบออกมาอย่างไรก็ไร้แรงกดดัน การตักน้ำใส่กะโหลกแต่ชะโงกดูตัวเองแล้วชมว่าเก่งและซื่อสัตย์อยู่คนเดียว มันคือหนทางวิบัติไม่ใช่ทางแก้ของปัญหา

Back to top button