อวดโฉม 20 บจ. mai โกยกำไร Q3 โตทะลักเกิน 100%
อวดโฉม 20 บจ. mai โกยกำไร Q3 โตทะลักเกิน 100%
ตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) เปิดเผยว่า บริษัทจดทะเบียน (บจ.)ในตลาดฯจำนวน 167 บริษัท คิดเป็น 95% จากทั้งหมด 176 บริษัท (ไม่รวมบริษัทในกลุ่มที่เข้าข่ายอาจถูกเพิกถอน หรือ NC บริษัทที่ปิดงบไม่ตรงงวด บริษัทที่ส่งงบไม่ทันตามกำหนด) พบว่า ผลการดำเนินงานในไตรมาส 3/2563 งวดสิ้นสุดวันที่ 30 กันยายน 2563 บจ. มียอดขายรวม 40,889 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 8.6% กำไรจากการดำเนินงานหลัก 1,732 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 34.4% และมีกำไรสุทธิ 1,610 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 443.7%
ดังนั้น “ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” จึงทำการสำรวจผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์เอ็ม เอ ไอ (mai) ในไตรมาส 3/2563 มานำเสนอเพื่อให้เห็นความสามารถในการทำกำไรอย่างแข็งแกร่งในช่วงดังกล่าว
เนื่องจากในเป็นช่วงนี้ธุรกิจส่วนใหญ่เผชิญปัจจัยลบทั้งภาวะสงครามการค้าจีน-สหรัฐ รวมทั้งการแพร่ระบาดไวรัสโควิด-19 ที่ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจไปทั่วโลก โดยครั้งนี้คัดเลือกเฉพาะหุ้นในกลุ่ม mai ที่มีกำไรสุทธิไตรมาส 3/2563 เพิ่มขึ้นเกิน 100% โดยหุ้นที่เข้าเกณฑ์ดังกล่าวมีทั้งหมด 20 ตัว ตามตารางประกอบดังนี้
สำหรับหุ้นที่มีกำไรเพิ่มขึ้นสูงสุดอันดับ 1 คือ บริษัท ซันสวีท จำกัด (มหาชน) หรือ SUN โดยไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 86.16 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 8,934.97 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 0.95 ล้านบาท เนื่องจากรายได้จากการขายเพิ่มขึ้น ประกอบกับค่าเงินบาทที่อ่อนค่าลง อัตราค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อยอดขายลดลง
โดยในไตรมาส 3 บริษัทและบริษัทย่อยมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนสุทธิ ที่ 7.4 ล้านบาทเพิ่มขึ้น 560.6% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน จากเงินบาทอ่อนค่า ซึ่งบริษัทได้มีการใช้เครื่องมือทางการเงินสัญญาซื้อขายเงินตราต่างประเทศล่วงหน้าอย่างเหมาะสมกับสถานการณ์
ด้านนายองอาจ กิตติคุณชัย ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร SUN เปิดเผยว่า ในปี 2564 ตั้งเป้ารายได้โต 10-15% จากปี 2563 โดยการเติบโตในปี 2564 จะมาจากปัจจัยสนับสนุนของยอดออเดอร์ของลูกค้าในต่างประเทศที่บริษัทได้มีลูกค้าใหม่ๆเข้ามาเพิ่มเติมมากขึ้นในช่วงที่ผ่านมา จากการพูดคุยทางการค้าผ่านระบบออนไลน์ ประกอบกับบริษัทได้เตรียมแผนการรองรับเกี่ยวกับผลผลิตข้าวโพดที่จะออกมาในช่วงต้นปี 2564 ไว้แล้ว ทำให้บริษัทมีความพร้อมในการเดินหน้าผลิตและส่งมอบสินค้าให้กับลูกค้าได้อย่างเต็มที่
อันดับ 2 คือ บริษัท ซิก้า อินโนเวชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ ZIGA โดยไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 40.90 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,619.54 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 2.38 ล้านบาท
บล.แลนด์ แอนด์ เฮ้าส์ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” ZIGA ราคาเป้าหมาย 3.20 บาท/หุ้น โดยกำไรไตรมาส 3/63 สร้างสถิติสูงสุดใหม่ที่ 41 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44.1% เมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน และ 1,619.5% เมื่อเทียบจากปีก่อน ตามคาด โดยมีจุดเด่นของบริษัท คือ สินค้าท่อเหล็กทุกประเภทที่จัดจำหน่ายคือประเภท Pre-zinc (เหล็กกัลวาไนซ์) นำเข้าจากต่างประเทศ 100% รายใหญ่สุดของไทย ซึ่งมีคุณสมบัติป้องกันสนิมและคงทนกว่าท่อเหล็กดำทั่วไปที่ขายตามท้องตลาด บวกกับการเปิดใช้โรงงานใหม่ เพิ่มกำลังการผลิตและพื้นที่คลังสินค้าตั้งแต่ต้นปี
รวมทั้งผลบวกจาก COVID-19 ทำให้ลูกค้ามีความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์มากขึ้น และสั่งซื้อผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น ช่วยประหยัดต้นทุน นอกจากนี้แบรนด์สินค้ายังเป็นที่รู้จักในกลุ่มผู้ค้าส่งและค้าปลีก
ทั้งนี้คาดกำไรปี 2563 เติบโตเกิน 189% เมื่อเทียบจากปีก่อน แม้กำไรไตรมาส 4/63 จะอ่อนตัวลง จากวันหยุดยาวในเดือนธ.ค. ปัจจุบัน ZIGA มีฐานสมาชิก line official กว่า 5 หมื่นราย และ Facebook กว่า 3 หมื่นราย หนุนการเติบโตของยอดขายออนไลน์อย่างก้าวกระโดด กลุ่มร้านค้าปลีกตามหัวเมืองใหญ่มีการสั่งซื้อท่อเหล็กกัวลาไนซ์และสินค้า New Product จาก ZIGA ไปจำหน่ายโดยตรงเพิ่มมากขึ้น
นอกจากนี้สินค้าของ ZIGA ผ่านร้าน Modern Trade ได้รับความนิยมมากขึ้น เพราะท่อเหล็กกัลวาไนซ์ของแบรนด์ ZIGA เป็นที่ยอมรับของตลาดถึงความทนทาน รวมถึงท่อเหล็กแบรนด์ ZIGA ทุกประเภทเป็นท่อเหล็กกัลวาไนซ์ 100% ซึ่งยังไม่มีคู่แข่งรายใดที่ผลิตท่อเหล็กทุกประเภทเป็นท่อกัลวาไนซ์
ขณะที่งวดไตรมาส 4/63 คาดวันหยุดยาวในเดือนธ.ค. จะฉุดให้ยอดขายอ่อนตัวเมื่อเทียบจากไตรมาสก่อน แม้ ZIGA มีแผนเริ่มขายสินค้าผ่าน Shopee และ Lazada ส่งผลให้คาดกำไรทั้งปี 2563 จะอยู่ที่ 102 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 189% เมื่อเทียบจากปีก่อน
ทั้งนี้ในปี 2564 และ ปี 2565 จะเติบโตต่อเนื่องจากเพิ่ม Outlet ปีละ 60 สาขา และ New Product ในต้นปี 2564 จะเปิดโรงงานเฟส 3 เพื่อผลิตสินค้าใหม่ของแบรนด์ DAIWA คือ ท่อ Flex ร้อยสายไฟ ท่อประปากัลวาไนซ์ ซึ่งจะทำให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นเป็น 1.3 แสนตันต่อปี และมีพื้นที่คลังสินค้าเพิ่มขึ้น
นอกจากนี้ ZIGA ยังมีแผนเปิด Outlet ขายสินค้าของแบรนด์ ZIGA ในปี 64 และ 65 ปีละ 60 สาขา โดยจะเป็นรูปสาขาแฟรนด์ไชส์ทั้งหมด แต่เป็นทำเลที่ทาง ZIGA เลือกให้เช่นในพื้นที่เช่าของร้าน Dynasty Ceramic โดยจังหวัดแรกที่จะบุกคือโคราช รองลงมาคือเชียงใหม่ ซึ่งคาดจะต่อยอดให้กำไรปี 64 เติบโตอีก 22% ส่วนปี 2565 ผลิตภัณฑ์ที่มีแผนผลิตเพิ่มคือท่อทังสเตน
อันดับ 3 คือ บริษัท มัลติแบกซ์ จำกัด (มหาชน) หรือ MBAX ไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 60.12 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 1,494.62 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 3.77 ล้านบาท
ด้านนักวิเคราะห์ ระบุว่า ขณะนี้ปรับเพิ่มน้ำหนักเข้าลงทุนในหุ้น MBAX และแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสมที่ 11 บาทต่อหุ้น เนื่องจากคาดว่าผลงานช่วงครึ่งปีหลังจะเติบโตโดดเด่น จาก Covid-19 ในต่างประเทศที่ยังรุนแรง ทำให้สินค้าอุปโภคยังมีความจำเป็น ดังนั้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์จึงยังเติบโตได้ดี
ขณะที่ล่าสุด MBAX ได้รับออเดอร์จากลูกค้ารายใหญ่ยาวถึงต้นปี 64 โดยทั้งปี 63 คาดกำไรสุทธิทะลุ 200 ล้านบาท เติบโตเกิน 290% จากปีก่อน EPS ราว 1.10 บาท สำหรับค่า P/E ในอดีตเฉลี่ย 15 เท่า ประเมินให้ P/E 10
อนึ่ง MBAX ดำเนินธุรกิจผลิตและส่งออกถุงพลาสติกประเภทต่างๆ ตามคำสั่งซื้อของลูกค้า (Made to Order) ไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศ โดยแหล่งข่าววงการอุตสาหกรรมเปิดเผยว่า ปี 63 มั่นใจผลงานจะเติบโตทำสถิติสูงสุด (นิวไฮ) ในรอบหลายปี เพราะแค่ช่วงครึ่งแรกปี 63 มีกำไรสุทธิแล้ว 100 ล้านบาท และรายได้รวมที่ 921.45 ล้านบาท เมื่อเทียบทั้งปี 62 ที่มีกำไรสุทธิเพียง 50.98 ล้านบาท และรายได้รวม 1.45 พันล้านบาทเท่านั้น
อันดับ 4 คือ บริษัท ทีวี ธันเดอร์ จำกัด (มหาชน) หรือ TVT ไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 5.39 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 969.92% จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 0.50 ล้านบาท
โดยผลการดำเนินงานไตรมาสดังกล่าวเพิ่มขึ้นเนื่องจาก บริษัทมีต้นทุนลดลง 24.97 ล้านบาท คิดเป็น 33.17% ซึ่งเป็นผลมาจากนาทีขายโฆษณาที่ลดน้อยลง ปริมาณรายการที่รับจ้างผลิตและงานอีเว้นท์ที่ลดลง นอกจากนี้บริษัทมีค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารรวมในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ลดลง 7.26 ล้านบาท คิดเป็น 28.48%
อนึ่ง TVT ผลิตรายการโทรทัศน์และรายการบันเทิง โดยแบ่งลักษณะธุรกิจเป็น 5 ประเภท ได้แก่ 1) ธุรกิจโฆษณา ซึ่งเกิดจากการผลิตรายการโทรทัศน์ 2) ธุรกิจให้บริการ ซึ่งเกิดจากการรับจ้างผลิตรายการ การจัดกิจกรรม และวางแผนสื่อวิดีโอออนไลน์ 3) ธุรกิจบริหารศิลปิน 4) ผลิตและจำหน่ายหนังสือพ็อคเก็ตบุ๊ค ขายสื่อโฆษณา 5) ผลิตและจำหน่ายเครื่องสำอาง
อันดับ 5 คือ บริษัท ซีออยล์ จำกัด (มหาชน) หรือ SEAOILไตรมาส 3/2563 บริษัทมีกำไรสุทธิ 42.61 ล้านบาท หรือคิดเป็นเพิ่มขึ้น 822.26 % จากช่วงเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 4.62 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 3/2563 ต้นทุนขายอยู่ที่ 3,812.50 ล้านบาท ลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 4,136.26 ล้านบาท
อนึ่ง SEAOIL ดำเนินธุรกิจได้แก่ 1. ธุรกิจจัดจำหน่ายน้ำมันเชื้อเพลิงและน้ำมันหล่อลื่น ให้กับลูกค้าทางทะเล ได้แก่ เรือเดินทะเลทั้งในประเทศและต่างประเทศ และลูกค้าทางบก ได้แก่ โรงงานอุตสาหกรรม และกลุ่มธุรกิจต่างๆ เช่น ธุรกิจรถขนส่งทางบก ธุรกิจให้บริการรถโดยสาร เป็นต้น 2. ธุรกิจให้บริการในการจัดหาอาหาร วัตถุดิบ และให้บริการอื่นๆ ให้แก่เรือเดินทะเล และพนักงานประจำแหล่งขุดเจาะน้ำมันและก๊าซทั้งในทะเลและบนบก (Supply Management)
*ทั้งนี้ข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน