พาราสาวะถี
คนส่วนหนึ่งต่างลุ้นกันว่าหลังบ่ายสามโมงวันนี้ไปแล้ว ชะตากรรมของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นอย่างไรจากผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีพักบ้านหลวงทั้งที่เกษียณอายุราชการมาแล้วกว่า 7 ปี ขณะที่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เห็นตรงกันยังไงก็รอด เพราะมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นความผิดแบบจะแจ้งตรงไหน ขณะเดียวกันก็มีการออกระเบียบมาใหม่แก้ไขจากบ้านพักสวัสดิการเป็นบ้านพักรับรอง เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีนี้โดยเฉพาะ
อรชุน
คนส่วนหนึ่งต่างลุ้นกันว่าหลังบ่ายสามโมงวันนี้ไปแล้ว ชะตากรรมของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา จะเป็นอย่างไรจากผลวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญกรณีพักบ้านหลวงทั้งที่เกษียณอายุราชการมาแล้วกว่า 7 ปี ขณะที่เชื่อว่าคนส่วนใหญ่เห็นตรงกันยังไงก็รอด เพราะมองไม่เห็นว่ามันจะเป็นความผิดแบบจะแจ้งตรงไหน ขณะเดียวกันก็มีการออกระเบียบมาใหม่แก้ไขจากบ้านพักสวัสดิการเป็นบ้านพักรับรอง เพื่อหลีกเลี่ยงกรณีนี้โดยเฉพาะ
ขณะที่หากถามถึงความเชื่อถือต่อองค์กรอิสระทั้งหลายนั้น นับตั้งแต่หลังการรัฐประหาร การตัดสินใจในหลายกรณีค่อนข้างที่จะชี้ได้ชัดว่าเป็นไปในลักษณะใด ดังนั้น การได้ไปต่อของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องแปลกใจหรือตื่นเต้น ดีใจแต่อย่างใด ส่วนเหตุที่จะต้องหลุดจากเก้าอี้มีแค่กรณีเดียวเท่านั้นคือ ต้องการให้ประเทศชาติสงบและหาทางลงให้คนสืบทอดอำนาจ ซึ่งหากพิจารณาจากโทนทางของฝ่ายกุมอำนาจและองคาพยพที่เกี่ยวข้องแล้วไม่มีวันที่จะเกิดขึ้นได้
อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ทางการเมืองเป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดเดาได้แบบตรงเผงร้อยเปอร์เซ็นต์ มีโอกาสที่จะพลิกแพลงได้ตลอดเวลา เช่นเดียวกับกรณีการลาออกจากสมาชิกพรรคเพื่อไทยของ คุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ อดีตประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์ของพรรค พร้อมระดับนำหลายคนไม่ว่าจะเป็น โภคิน พลกุล วัฒนา เมืองสุข โดยทั้งหมดพอเข้าใจได้แนวทางจากการขยับปรับเปลี่ยนผู้บริหารพรรคที่ผ่านมา ถือว่าสวนทางกับทีมงานยุทธศาสตร์ของพรรคชุดนี้โดยสิ้นเชิง
ความระหองระแหงภายในพรรคนายใหญ่ไม่ได้เพิ่งเกิด หากแต่มีมาโดยตลอดอยู่แล้ว จะเห็นได้จากข่าวที่เกิดขึ้นกับตัวเจ๊หน่อยเองตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้งเมื่อเดือนมีนาคมปีที่แล้ว และก็มีมาเป็นระยะ ดังนั้น ในจังหวะนี้จึงถือเป็นช่วงเวลาดีที่จะได้ถอดสลักเพื่อไปเดินบนเส้นทางที่ตัวเองสามารถกำหนดได้ อย่างน้อยก่อนเข้าสู่โหมดการเลือกตั้ง ทีมงานส.ส.ของกทม.พรรคเพื่อไทยแทบจะทั้งหมดก็ต้องลาออกตามไปอยู่กับเจ๊ใหญ่เจ้าของพื้นที่การเมืองเมืองหลวงอย่างแน่นอน
ทั้งนี้ แม้จะไม่มีการอธิบายเหตุผลว่าทำไมถึงต้องลาออก และโดยมารยาทก็จะไม่มีใครพูดถึงหรือถ้าบอกก็มีความจริงแค่นิดเดียวเท่านั้น แต่เป็นอันรู้กันว่าการก้าวเดินออกมาครั้งนี้ของคุณสุดารัตน์ไม่ใช่การวางมือทางการเมืองอย่างแน่นอน อย่างน้อยก็จะมีสนามเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ที่จะเป็นด่านแรกทดสอบว่า ข่าวที่มีมาก่อนหน้าว่าเจ้าตัวจะขอลงสนามวัดคะแนนนิยมอีกรอบ แม้จะดูเหมือนเป็นการลดชั้นก็ตาม ดังนั้น การไม่มีสีเสื้อของพรรคเข้ามาเกี่ยวข้องก็น่าจะเป็นผลดีอย่างมากทีเดียว
แต่การกระโจนลงสนามนี้ มันก็มีมุมที่ต้องให้คิดกันหนัก ถ้าไม่ชนะขึ้นมาสิ่งที่จะเดินกันต่อในนามของพรรคการเมืองใหม่ซึ่งจะจัดตั้งขึ้นมันก็น่าจะไปต่อลำบาก และการเปิดหน้าสู้แบบนี้ก็เป็นเหมือนเวทีที่จะทำให้ฝ่ายตรงข้ามเปิดแผล หรือหาเหตุสร้างเรื่องทำลายความนิยมจนกลายเป็นปัญหาต่อการที่จะขับเคลื่อนงานกันในอนาคต อีกด้านการที่มีคู่แข่งอิสระอย่าง ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รออยู่ก่อนแล้ว ก็เป็นอุปสรรคสำคัญเพราะฐานเสียงของคนที่จะสนับสนุนส่วนใหญ่คือฐานเดียวกัน
ดังนั้น แนวโน้มจังหวะก้าวของเจ๊ใหญ่กทม.พร้อมคณะที่ลาออกจากพรรคนายใหญ่ จึงมุ่งเน้นไปที่การตั้งพรรคการเมืองใหม่เสียมากกว่า โดยมีเป้าหมายคือเก็บคะแนนส.ส.ในพื้นที่กรุงเทพฯ เป็นหลัก เพื่อต่อยอดไปยังคะแนนในแบบบัญชีรายชื่อ เพราะหากพิจารณาจากคะแนนเสียงของส.ส.กทม.ที่ได้ในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา ถ้าไม่ได้สังกัดพรรคเพื่อไทย จะสามารถแปลงเป็นจำนวนส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ได้เกือบสิบเก้าอี้ นี่คือความคิดที่หากอยู่ในพรรคเดิมก็ไม่สามารถเป็นจริงได้
เมื่อเป็นความแตกต่างในทางความคิด มันจึงไม่ใช่เป็นการเดินออกมาจากบ้านหลังเดิมในฐานะศัตรู หากแต่เป็นการจากมาเพื่อไปต่อสู้และวันข้างหน้าจะได้มีโอกาสกลับมาจับมือร่วมกันทำงาน เพราะมองแนวโน้มการเลือกตั้งครั้งหน้ายังไงเสียก็คงจะเป็นกติกาเดิมภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับสืบทอดอำนาจ เรื่องการแก้ไขเห็นการเล่นแร่แปรธาตุอย่างนี้บอกได้คำเดียวว่าสำเร็จยาก และด้วยสถานการณ์การเมืองเช่นนี้พื้นที่กทม.คู่แข่งอย่างประชาธิปัตย์ก็ไม่ได้น่ากลัวเหมือนเดิมแล้ว
ส่วนพรรคสืบทอดอำนาจนั้น หากสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างที่เป็นอยู่ ก็คงไม่ต้องสืบว่าสนามเลือกตั้งกทม.ยังจะได้ส.ส.มากเหมือนครั้งที่ผ่านมาอีกหรือไม่ จากนี้ไปก็ไม่มีใครคาดเดาได้ว่าแนวโน้มของการต่อสู้ระหว่างฝ่ายอำนาจสืบทอดกับกลุ่มราษฎรนั้นจะดำเนินไปในทิศทางใด ฝ่ายกุมอำนาจก็ใช้การยื้อยุดฉุดกระชากสารพัด พร้อมปฏิบัติการไอโอโจมตีฝ่ายตรงข้าม ขณะที่ฝ่ายม็อบก็ประกาศจะยกระดับเข้มข้นขึ้นหลังปีใหม่
นั่นเป็นการต่อสู้หน้าฉาก ส่วนหลังฉากเป็นสิ่งที่ต้องอ่านกันให้ออก ยกตัวอย่างกรณีคดีที่กลุ่มแกนนำผู้ชุมนุมถูกดำเนินการล่าสุด หากเป็นเมื่อก่อนต้องบอกได้ทันทีทันใดว่าหมดโอกาสที่จะได้กลับมาต่อสู้ร่วมกับมวลชนอีกแล้ว แต่หนนี้แตกต่างออกไป นั่นย่อมหมายถึงปัจจัยที่หนุนส่งซึ่งถูกมองว่าไม่ธรรมดา การประกาศกร้าวของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่ว่ากำลังตรวจสอบท่อน้ำเลี้ยงและผู้อยู่เบื้องหลังของเยาวชนคนรุ่นใหม่ที่ออกมาเคลื่อนไหว ต้องถามต่อไปว่าตรวจแล้วเจออะไร และทำยังไงต่อ บางครั้งสิ่งที่เห็นก็ไม่ใช่อย่างที่คิด
ไม่มีอะไรตลกมากไปกว่าละครการเมืองของนักการเมืองน้ำเน่าในประเทศนี้อีกแล้ว เรื่องยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ พรรคสืบทอดอำนาจบอกให้ส.ส.ฟรีโหวตทั้งที่พรรคตัวเองเป็นคนชงขอแก้ไข นั่นเท่ากับว่าเป็นการยืนยันถึงความไม่จริงใจ ขณะที่พรรคเก่าแก่บอกมติพรรคชัดไม่เห็นด้วยกับการส่งตีความ แต่การถูกเบี้ยวแล้วเบี้ยวอีกก็ยังไม่ตัดสินใจอะไรเด็ดขาด ก็เท่ากับยืนยันว่าผลประโยชน์สำคัญกว่าจุดยืนของพรรค นี่ไงผลงานชิ้นสุดยอดกับการปฏิรูปกำมะลอที่เผด็จการสืบทอดอำนาจกล่าวอ้าง