“บล.ฟิลลิป” แนะสอย STGT ชี้ไตรมาส 4 ยอดขาย-กำไรโตสนั่น ชูเป้า 92 บ.
“บล.ฟิลลิป” แนะสอย STGT ชี้ไตรมาส 4 ยอดขาย-กำไรโตสนั่น ชูเป้า 92 บ.
บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ คงคำแนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท บริษัท ศรีตรังโกลฟส์ (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ STGT โดยประเมินว่า แนวโน้มการดำเนินงานไตรมาส 4/63 จะเป็นไตรมาสที่ดีที่สุดของปี ทั้งยอดขายและกำไร โดยปริมาณขายคาดเพิ่มขึ้นราว 5% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ขณะที่ราคาขายจะเพิ่มขึ้น 50% จากไตรมาสก่อน แม้ต้นทุนวัตถุดิบทั้งน้ำยางข้น และน้ำยางสังเคราะห์จะปรับตัวขึ้น แต่การปรับราคาขายเพิ่มขึ้นได้มากกว่าต้นทุนที่เพิ่มขึ้น ทำให้สามารถช่วยชดเชยวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้นมาได้ทั้งหมด ซึ่งจะทำให้การดำเนินงานยังทำสถิติสูงสุดของปีได้ และคาดว่าการดำเนินงานปกติปี 2563 จะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญจากปีก่อนเป็น 1.26 หมื่นล้านบาท ภายใต้ปริมาณขาย 2.82 หมื่นล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 42% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ทั้งนี้ แม้ว่าจะมีความคืบหน้าในการผลิตวัคซีนมากขึ้น แต่หากการใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับเครื่องมือทางการแพทย์ ซึ่งรวมถึงอุปสงค์การใช้ถุงมือในตลาดโลกที่มีการเติบโตต่อเนื่องราว 15-20% ต่อปี ทำให้คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อคำสั่งซื้อของบริษัทเช่นกัน
ขณะที่แผนการขยายกำลังการผลิตเพื่อรองรับอุปสงค์ที่ยังแข็งแกร่งจะยังคงดำเนินต่อไป โดยสิ้นปี 2563 ทาง STGT จะมีการผลิตถุงมือทั้งสิ้น 2.36 หมื่นล้านชิ้น และเพิ่มขึ้นอีก 3.2 พันล้านชิ้นในปี 2564 โดยตั้งเป้าว่าจะเพิ่มกำลังการผลิตเป็น 1.06 แสนล้านชิ้นในปี 2569
นอกจากนี้ ยังมีคำสั่งซื้อถุงมือยางธรรมชาติ (NR) ยาวไปถึงไตรมาส 1/65 ส่วนถึงมือยางสังเคราะห์มีถึงกลางปี 2566 ซึ่งยังไม่น่ากังวลว่าปริมาณขายจะหายไป
ขณะที่ราคาขายโดยเฉพาะในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 ทางฝ่ายคาดว่ายังเพิ่มขึ้นได้อีกอย่างน้อย 10-15% จากราคาเฉลี่ยในไตรมาส 4/63 ทำให้คาดว่าการดำเนินงานปี 2564 ยังเป็นปีที่ดีของธุรกิจถุงมือยาง
โดยทางฝ่ายคาดปริมาณขายที่ 3.22 หมื่นล้านชิ้น เพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน ภายใต้สมมติฐานราคาขายเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 62.5% และยังได้รับผลบวกจากเงินสนับสนุนจาก กยท. ส่งผลให้ภาระดอกเบี้ยจ่ายลดลง และปรับกำไรสุทธิเป็น 2.25 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 77% จากปีก่อน
อย่างไรก็ตาม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาพื้นฐานเป็น 92 บาท เนื่องจากมองว่า แม้การพัฒนาวัคซีนจะมีความคืบหน้ามากขึ้น แต่ไม่กระทบต่อผลการดำเนินงานในปี 2564 เนื่องจากยังมีคำสั่งซื้อรอส่งมอบอยู่อีกมากในปีหน้า อีกทั้งข่าวการปิดโรงงานของ Top Glove จะหนุนให้ราคาขายปรับขึ้นได้ดีกว่าที่เคยคาดไว้