พาราสาวะถี
ถนนสายสมานฉันท์ที่ ชวน หลีกภัย อุตส่าห์ลงทุนลงแรงแผ้วถางทาง ไม่มีวันที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งความหวังไว้อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะเสียงปฏิเสธอันแข็งขันมาจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในนามคณะราษฎร ไม่ใช่เพราะพรรคก้าวไกลไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย และไม่ใช่ที่พรรคเพื่อไทยออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่าไม่ร่วมขบวนด้วย หากแต่สัญญาณมันชัดตั้งแต่คนของพรรคสืบทอดอำนาจแสดงการข่มขู่เพื่อบีบทางเดินของคณะกรรมการที่จะเกิดขึ้น และการโจมตีคนที่ประธานรัฐสภาไปพูดคุยด้วย
อรชุน
ถนนสายสมานฉันท์ที่ ชวน หลีกภัย อุตส่าห์ลงทุนลงแรงแผ้วถางทาง ไม่มีวันที่จะเดินไปสู่จุดหมายปลายทางที่ตั้งความหวังไว้อย่างแน่นอน ไม่ใช่เพราะเสียงปฏิเสธอันแข็งขันมาจากฝ่ายต่อต้านรัฐบาลในนามคณะราษฎร ไม่ใช่เพราะพรรคก้าวไกลไม่ร่วมสังฆกรรมด้วย และไม่ใช่ที่พรรคเพื่อไทยออกมายืนยันอย่างเป็นทางการว่าไม่ร่วมขบวนด้วย หากแต่สัญญาณมันชัดตั้งแต่คนของพรรคสืบทอดอำนาจแสดงการข่มขู่เพื่อบีบทางเดินของคณะกรรมการที่จะเกิดขึ้น และการโจมตีคนที่ประธานรัฐสภาไปพูดคุยด้วย
นั่นเป็นภาพสะท้อนอันเด่นชัดว่า ข้อเสนอเรื่องคณะกรรมการสมานฉันท์ที่ชงโดยพรรคประชาธิปัตย์ ไม่ได้รับการตอบสนองและสนับสนุนจากพรรคสืบทอดอำนาจ แม้จะอ้างว่าความเห็นทั้งหลายที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องส่วนตัวของบุคคล แต่คนที่ออกมาเคลื่อนไหวล้วนแต่เป็นแกนหลักในการแสดงบทบาทเกทับบลัฟแหลกและเดินเกมทักท้วงใช้ชั้นเชิงทางข้อกฎหมายเพื่อสกัดกั้นความพยายามในการที่จะหาทางคลี่คลายวิกฤติจากม็อบของพรรคร่วมรัฐบาลทุกทาง
ไม่เพียงแค่คณะกรรมการสมานฉันท์ที่เกิดขึ้นมาภายหลัง หากแต่การแสดงท่าทีต่อกระบวนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นับตั้งแต่ 24 กันยายนที่ว่าด้วยการตั้งคณะกรรมาธิการยื้อแก้รัฐธรรมนูญ ก็เป็นบทพิสูจน์แล้วว่า คนในองคาพยพของขบวนการสืบทอดอำนาจนั้น ไม่ได้มีความประสงค์ที่จะให้เกิดความปรองดอง และการแก้ไขรัฐธรรมนูญใด ๆ ทั้งสิ้น เพราะสิ่งที่เป็นไปและที่พรรคพวกตัวเองได้ประโยชน์อยู่ทุกวันนี้ ก็เป็นผลพวงมาจากทั้งสองสิ่งทั้งนั้น ใครจะบ้าไปทำลายเส้นทางทำมาหากินของตัวเอง
อย่างไรก็ตาม ในจังหวะที่ความเคลื่อนไหวของกลุ่มชุมนุมกำลังตั้งท่าว่าจะปรับทิศปรับทาง ปรับกระบวนการเคลื่อนไหวกันอยู่นั้น เพจเฟซบุ๊กของเยาวชนปลดแอก Free YOUTH ก็ได้มีการโพสต์ข้อความเรียกแขกและหากเดินกันไปแบบนี้ ก็ยิ่งจะทำให้ม็อบอยู่ยากแน่นอน จากการระบุว่า “รัฐที่มหาชนเป็นใหญ่” สาธารณรัฐ หรือ Republic เป็นรูปแบบการปกครองที่แพร่หลายทั่วโลก เน้นการกระจายอำนาจการปกครอง ผู้ปกครองต้องมาจากการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม
มิใช่ตกทอดทางสายเลือด ไม่มีเลือดสีน้ำเงิน ไม่มีเลือดสีอื่นใด มีเพียง “สีแดง” พร้อมยกเอาวาทะเด็ดของ Thomus Paine บิดาผู้ก่อตั้งสหรัฐอเมริกามานำเสนอว่า “มนุษย์ทุกคนเกิดมาเท่าเทียมกัน ไม่มีมนุษย์คนไหนพึงมีสิทธิแต่กำเนิดในอันที่จะยกยอตระกูลของตนให้มีอภิสิทธิ์ถาวรเหนือคนทั้งปวงตลอดไป” เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสาธารณรัฐ ในสาธารณรัฐ เสียงของประชาชนจะดังก้องฟ้า แต่สาธารณรัฐจะเกิดขึ้นไม่ได้เลย หากปราศจากประชาชนผู้ลุกขึ้นปลดเปลื้องพันธนาการทั้งปวง
ทันทีที่มีการนำเสนอเรื่องนี้ ฝ่ายที่จ้องอยู่แล้วก็ปลุกระดมทันใดว่า ภาพชัดแล้วม็อบที่ต่อต้านรัฐบาลนั้นแท้จริงแล้วมีเป้าประสงค์จะล้มล้างการปกครอง ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าการโพสต์ของเพจเยาวชนปลดแอกนั้นมีวัตถุประสงค์อะไร เพื่อเรียกแขกหรือต้องการนำเสนอแนวคิดและนำไปสู่ข้อเรียกร้องเช่นนั้นจริง ๆ ซึ่งถ้าเป็นจริง นั่นเท่ากับว่า กำลังเดินไปสู่หนทางเสื่อมสลาย อย่าลืมว่าในอดีต ทักษิณ ชินวัตร และเครือข่ายก็ถูกกล่าวหาโดยประเด็นนี้มาแล้วด้วยเรื่องโกหกบันลือโลก “ปฏิญญาฟินแลนด์”
เชื่อได้เลยว่าจากนี้ฝ่ายปฏิบัติการไอโอและกลุ่มที่เคลื่อนไหวปกป้องสถาบันจะยกเอาเรื่องนี้มากระทุ้งอย่างต่อเนื่อง ปะเหมาะกับทีมงานสื่อเสี้ยมที่ถือหางผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ กำลังจะได้พื้นที่ลงทำสงครามข่าวสาร ก็จะใช้ประเด็นนี้ขยายผลโจมตีกันอย่างรุนแรง อยู่ที่ว่าฝ่ายที่โพสต์ข้อมูลนั้นจะมีการชี้แจงอย่างไรหรือไม่ ถ้าไม่มีอะไรในกอไผ่อีกฝ่ายก็นำไปขยายผลสร้างแนวร่วมไม่ได้ แต่ถ้าไม่ชี้แจงแล้วเลือกที่จะเงียบสถานการณ์ก็จะเป็นอีกเรื่อง และจะเป็นการตอกย้ำเรื่องการแตกคอของแกนนำม็อบว่ามีอยู่จริง
นี่คือสิ่งคนซึ่งเคยอาบน้ำร้อนมาก่อนในขบวนการเรียกร้องประชาธิปไตยแสดงความเป็นห่วง บรรดาแกนนำทั้งหลาย แม้จะบอกว่าคณะราษฎรทุกคนคือแกนนำ แต่ท้ายที่สุดบุคคลที่ปรากฎเป็นข่าวและมีคดีความทั้งหลายก็กลายเป็นแกนนำโดยธรรมชาติ และเมื่อต่างคนมีบทบาทอยู่ที่ว่าใครจะเข้าใจบทบาทและไม่หลงเหลิงไปกับคำยกยอปอปั้นหรือสถานะที่ได้รับการสถาปนาจากแนวร่วม ถ้ายึดติดหัวโขนเมื่อไหร่ความขัดแย้งก็เป็นสิ่งที่จะตามมาทันที
อย่างไรก็ตาม ใช่ว่าฝ่ายสืบทอดอำนาจจะอาศัยจังหวะนี้เล่นงานหรือโจมตีแนวคิดของกลุ่มเคลื่อนไหวได้สะดวกโยธิน เพราะเสียงเรียกร้องมาจากวุฒิสมาชิกของสหรัฐอเมริกาล่าสุด โดย บ็อบ เมเนนเดซ วุฒิสมาชิกรัฐนิวเจอร์ซีย์ สมาชิกอาวุโสของคณะกรรมาธิการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ วุฒิสภาสหรัฐฯ และดิก เดอร์บิน วุฒิสมาชิกจากรัฐอิลลินอยส์ นำสมาชิกวุฒิสภารวม 9 รายชื่อ เข้าร่วมเสนอข้อมติของวุฒิสภา เพื่อย้ำถึงความมุ่งมั่นของสหรัฐอเมริกาต่อสิทธิมนุษยชน ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมในประเทศไทย
ที่ต้องขีดเส้นใต้คือคำพูดของเดอร์บิน ที่ระบุว่า “ในขณะที่คนไทยถกเถียงกันเรื่องการเปลี่ยนแปลงรัฐธรรมนูญ อนาคตทางการเมืองของพวกเขาควรถูกกำหนดผ่านการเจรจาอย่างสันติ ไม่ใช่การใช้ความรุนแรงการคุกคามหรือการกดขี่ข่มเหง โดยเฉพาะอย่างยิ่งเสียงของนักเรียนและเยาวชนไทยที่กล้าหาญจำนวนมากสมควรได้รับความสนใจและเคารพ” ขณะที่ ลัดดา แทมมี่ ดักเวิร์ธ วุฒิสมาชิกมะกันเชื้อสายไทย ก็ให้ความเห็นต่อกรณีนี้อย่างน่าสนใจเช่นเดียวกัน
“ดิฉันขอให้ผู้นำไทยรับฟังประชาชนและเคารพหลักการประชาธิปไตยซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของรัฐบาลที่พวกเขาทำงานอย่างหนักเพื่อก่อตั้ง” ไม่เพียงเท่านั้น วุฒิสมาชิกของสหรัฐฯ ยังมีข้อเสนอในข้อมติ 5 ข้อ แต่ที่ทำให้ฝ่ายกุมอำนาจต้องคิดหนักคือสิ่งที่ในเอกสารระบุถึงสถานการณ์การเมืองไทยนับแต่การเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ว่า ต่อมาวงจรการเกิดรัฐประหารและรัฐบาลทหารหลายครั้งในรอบเกือบศตวรรษ
ที่ถือเป็นการตบหน้าขบวนการสืบทอดอำนาจในปัจจุบันก็คือ วุฒิสมาชิกของมะกันมองว่า การรัฐประหารครั้งล่าสุดเมื่อปี 2557 การประกาศใช้รัฐธรรมนูญปัจจุบันที่ร่างโดยคสช.ทำให้ “ประชาธิปไตยในไทยและการคุ้มครองสิทธิตามรัฐธรรมนูญเสื่อมถอย” นี่อาจเป็นสัญญาณแรกรับการมาของ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีคนใหม่ของสหรัฐฯ ใครที่บอกว่าไม่น่ามีอะไรนั้นจริงหรือ