เปิด 3 หุ้นสุดแจ๋ว! โบรกเชียร์ “ซื้อ” – อัพเป้าใหม่ การันตีผลงานไตรมาส 4 โตแจ่ม

เปิด 3 หุ้นสุดแจ๋ว! โบรกเชียร์ “ซื้อ” - อัพเป้าใหม่ การันตีผลงานไตรมาส 4 โตแจ่ม


“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ได้ทำการรวบรวมบริษัทหลักทรัพย์ที่มีแนวโน้มผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 4 และงวดปี 64 จะเติบโตอย่างต่อเนื่อง

โดยบริษัทหลักทรัพย์ โกลเบล็ก แนะนำ “ซื้อ” หุ้น บริษัท ธนพิริยะ จำกัด (มหาชน) หรือ TNP เนื่องจาคาดว่าผลประกอบการในไตรมาส 4/63 จะทำจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยคาดรายได้ 586 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 16% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 13% จากไตรมาสก่อน และกำไรราว 33 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2% จากปีก่อน และเพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อน

ซึ่งทั้งรายได้และกำไรงวดไตรมาส 4/63 จะเป็นจุดสูงสุดใหม่รายไตรมาส โดยมีปัจจัยหนุน ดังนี้ 1) ขยายสาขาค้าปลีกเพิ่มอีก 2 สาขา สู่ 32 สาขา ณ ปลายปี 63 2) ได้อานิสงส์ทางตรงจากการปรับเพิ่มวงเงินบัตรสวัสดิการฯ อีก 500 บาท 3) ได้อานิสงส์ทางอ้อมจากมาตรการ คนละครึ่ง และ 4) เข้าสู่ช่วง High Season ของปี ซึ่งปัจจัยดังกล่าวยังช่วยกระตุ้นให้ SSSG ในไตรมาส 4/63 ปรับเพิ่มขึ้นมาที่ระดับ 3-4% จาก ไตรมาส 3/63 ที่ทรงตัว ส่วน % GPM จะทรงตัวอยู่ในระดับสูงใกล้เคียงกับงวดไตรมาส 3 ที่ระดับ 16.5% ขณะที่ %SG&A/Sales ทรงตัวอยู่ในระดับ 10%

ทั้งนี้ คาดรายได้ในปี 64 ราว 2,430 ล้านบาท โต 12.3% จากปีก่อนบนสมมติฐานการขยายสาขาเพิ่มอีกราว 5 สาขา ขณะที่ %GPM จะทรงตัวในระดับสูงที่ระดับ 16.5% โดยปรับเพิ่มขึ้นจากเดิม ซึ่งคาดอยู่ที่ระดับ 16.2% และมากกว่าทั้งปี 63 ซึ่งเฉลี่ยอยู่ที่ระดับ 16.3% ตามการขยายสาขาค้าปลีกซึ่งมีอัตรามาร์จิ้นที่ระดับ 17-18% ประกอบกับคาดจะเห็น %GPM มีแนวโน้มทยอยปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง จากกลยุทธ์ของบริษัทที่จะทยอยนำสินค้าที่มีมาร์จิ้นดีเข้ามาขายภายในร้านสะดวกซื้อ ส่งผลให้คาดการณ์กำไรปี 64 จะอยู่ที่ราว 140 ล้านบาท (ปรับเพิ่มขึ้น 4.5%) หรือเพิ่มขึ้น 14% จากปีก่อน

ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ปรับราคาเหมาะสมปี 64 เพิ่มขึ้นเป็น 4.30 บาท จากเดิม 3.80 บาท จากการปรับคาดการณ์กำไรสุทธิต่อหุ้นขึ้นสู่ 0.175 บาท/หุ้น จากเดิม 0.168 บาท/หุ้น พร้อมกับปรับ Prospective PER ขึ้นสู่ 25.0 เท่า ให้เท่ากับค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม จากเดิมซึ่งอยู่ที่ระดับ 22.8 เท่า ซึ่งสะท้อนการเติบโตต่อเนื่องในช่วงไตรมาส 4/63 และผลประกอบการปี 64 ที่คาดจะเติบโตราว 10-15% ตามทิศทางการขยายสาขาใหม่อีก 4-5 สาขา ขณะที่ราคาหุ้น TNP มีอัพไซต์จากราคาปัจจุบันเกือบ 20%

 

ด้านบริษัทหลักทรัพย์ ทิสโก้ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท อิชิตัน จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI ราคาเป้าหมาย 12.30 บาท/หุ้น โดยฝ่ายวิจัยปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2563-64 เพิ่มขึ้นจากเดิม 6-7% ตามลำดับ มาอยู่ที่ 545 ล้านบาท (โต 36% จากปีก่อน) และ 638 ล้านบาท (โต 17% จากปีก่อน) จากการปรับค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่ำกว่าที่เราคาด

ส่วนแนวโน้มยอดขายในไตรมาส 4/63 คาดเพิ่มขึ้นทั้งจากปีก่อนและไตรมาสก่อน จากยอดขายในประเทศเป็นหลัก จากเครื่องดื่มวิตามินวอเตอร์ ซึ่งคาดจะมีรายได้มากกว่าในไตรมาส 3/63 ที่มีรายได้ 100 ล้านบาท เนื่องจากมีสินค้าใหม่วิตามินซี 200 จากเดิมที่มีน้ำด่าง PH+8.5 ส่งผลให้กำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอยู่ที่ประมาณ 53-54% โดยบริษัทคาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 2 หลัก แม้ว่ายอดขายรวมจะลดลงเล็กน้อยจากผลกระทบ COVID-19 จากการส่งออก แต่ยอดขายในประเทศเติบโตจากการออกสินค้าใหม่ การปรับขนาดสินค้าเล็กลงและการรับจ้างผลิตที่เพิ่มขึ้น บริษัทร่วมทุนที่อินโดนีเซียคาดรับรู้กำไรปีนี้ไม่ต่ำกว่า 23 ล้านบาท จากสินค้ากลุ่มชาไทยที่ได้รับการตอบรับดี

พร้อมกันนี้ คาดรายได้ปี 2563-64 อยู่ที่ 5,184 ล้านบาท (ลดลง 3% จากปีก่อน) และ 6,173 ล้านบาท (โต 19% จากปีก่อน) จากการคาดรายได้ในประเทศ โต 7% จากปีก่อน และ โต 21% จากปีก่อน จากการออกสินค้าใหม่ไซด์เล็กขยายตลาด Traditional Trade มากขึ้น การออกสินค้าใหม่ในกลุ่มน้ำผสมวิตามิน รวมธุรกิจรับจ้างผลิต OEM จำนวน 2 ราย และคาดรายได้ส่งออกปีนี้ลดลง 20% จากผลกระทบ COVID-19 แต่ปีหน้า +10% จากฐานต่ำและการนำสินค้าใหม่เข้าตลาด CLMV คาดรับรู้กำไรจากบริษัทร่วมทุนในอินโดนีเซียปีนี้ 15 ล้านบาท และปีหน้า 54 ล้านบาท จากคาดยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากการออกสินค้าใหม่

ดังนั้น ฝ่ายวิจัยเปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จาก ถือ จากราคาเป้าหมายใหม่ 12.30 บาท อ้างอิง PER เฉลี่ยตลาดที่ 25 เท่า ราคาหุ้นปัจจุบันยังมี upside บวกกับคาด Dividend Yield ที่ 3.6% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายอยู่ที่ PER ปี 64 ที่ 22 เท่า ฐานะการเงินแข็งแกร่ง D/E ปี 64 อยู่ที่ 0.3 เท่า

 

ด้าน บริษัทหลักทรัพย์ ทรีนีตี้ ระบุในบทวิเคราะห์ แนะนำ “ซื้อ” หุ้นบริษัท ยูเอซี โกลบอล จำกัด (มหาชน) หรือ UAC ราคาเป้าหมาย 4.70 บาทโดยแม้ว่าธุรกิจ Trading อาจจะยังไม่ฟื้นตัว แต่ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดว่าจะเพิ่มขึ้นมาใกล้เคียงกับไตรมาส 1/63 ที่ 70-80 ล้านบาท (Fig 2) เนื่องด้วยปัจจุบัน QTD ราคาน้ำมันปาล์ม (CPO) ปรับเพิ่มขึ้นมาเป็น 34 บาทต่อลิตร ซึ่งเป็นระดับที่ใกล้เคียงกับราคาในช่วงดังกล่าว โดยแรงพลักดันราคาน้ำมันปาล์ม ทั้งจากการสนับสนุนของรัฐบาลฯ ในการใช้ B10 และตามราคาน้ำมันถั่วเหลืองที่ปรับขึ้น (น้ำมันปาล์มเป็นสินค้าทดแทนน้ำมันถั่วเหลืองในการบริโภค)

ดังนั้นฝ่ายวิจัยยังคงประมาณการกำไรปี 2563 และ 2564 ที่ 215 ล้านบาทและ 243 ล้านบาท เพิ่มขึ้น13.6% และ 14.2% ตามลำดับ โดยการเติบโตในปี 2563 มาจากธุรกิจ bio diesel ที่ราคา CPO ปรับเพิ่มกว่า 40% เทียบกับปีก่อน และในปี 2564 ธุรกิจ Trading กลับมาฟื้นตัว +10%

ดังนั้น คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมายปี 2564 ที่ 4.70 บาท ด้วย PE Ratio ที่ 13 เท่า เทียบเท่า Avg PE-0.5 SD ด้วยมุมมองที่ conservative ซึ่งประเมินว่าธุรกิจ Trading น่าจะเริ่มกลับมาฟื้นตัว +10% จากปีก่อน ได้ในปี 2564 หลังจากที่ช่วงต้นปี 2563 ได้รับผลกระทบจาก lock down และยังมี upside จากโรงไฟฟ้าชุมชน 3 MW ต่อหุ้นประมาณ 0.42 บาทต่อหุ้น

Back to top button