พาราสาวะถี

อรชุน

ท่ามกลางการขับเคี่ยวกันในสนามการเลือกตั้งท้องถิ่น มีข่าวร้อนแรงสองเรื่องแทรกเข้ามา ล้วนแล้วแต่สำคัญทั้งสิ้น เรื่องแรกคือปมการพบเจ้าของแพปลาที่สมุทรสาครติดโควิด แล้วตามมาด้วยผลการสอบสวนขยายผลพบผู้ติดเชื้อจากกรณีนี้พรุ่งพรวดไปถึงเกือบ 600 ราย ขณะที่ อนุทิน ชาญวีรกูล ให้สัมภาษณ์หลังจากเกิดเรื่องดังกล่าว จะมีคนที่เข้าข่ายต้องตรวจสอบในรอบนี้ถึงหมื่นกว่าราย นั่นหมายความว่า สถานการณ์รอบนี้รุนแรงมากกว่ากรณีหญิงสาวลักลอบเข้าเมืองแล้วแพร่เชื้อที่อำเภอแม่สายหลายเท่าตัวนัก

สุดท้ายจากที่ตั้งเป็นคำถามก็ต้องดำเนินการทันทีนั่นก็คือการล็อกดาวน์พื้นที่จังหวัดสมุทรสาคร ส่วนจังหวัดอื่นที่ใกล้เคียงไม่ว่าจะเป็นกทม. นนทบุรี รวมไปถึงนครปฐม สมุทรสงคราม ต้องล็อกดาวน์ตามมาด้วยหรือไม่ แม้ทางกระทรวงสาธารณสุขจะยืนยันยังไม่ถึงขั้นนั้น แต่เชื่อได้เลยว่าประชาชนส่วนใหญ่ย่อมตื่นตระหนก กรณีนี้เนื่องจากยังไม่สามารถหาสาเหตุของการติดเชื้อได้ว่ามาจากไหน จากจำนวนคนติดเชื้อจำนวนมากและที่เสี่ยงอีกไม่น้อย ย่อมต้องนำไปสู่การตัดสินใจอย่างเด็ดขาดอย่างใดอย่างหนึ่ง

ทั้งนี้ ข้อเขียนหรือความเห็นของนายแพทย์นิธิพัฒน์ เจียรกุล หัวหน้าสาขาวิชาโรคระบบการหายใจและวัณโรค ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ศิริราชพยาบาล ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง โดยคุณหมอเผยภาพของการเอกซเรย์ปอดคนไข้ที่ติดเชื้อโควิด-19 พร้อมกับระบุว่าภาพที่คุ้นตาแพทย์กลับมาแล้ว ศึกพม่าตอนนี้รุกหนักจากชายแดนประเทศ มาสู่ชายแดนตะวันตกของกรุงเทพฯ แล้ว พบว่าศึกครั้งนี้คงระบาดวงกว้างได้ใน 2-3 วันนี้

เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องกำลังทำงานกันอย่างหนักเพื่อควบคุมในชุมชน ที่น่าเป็นห่วงคือผู้ป่วยที่ต้องรับไว้ในโรงพยาบาลทั้งที่ไม่มีอาการไปจนถึงอาการรุนแรง โดยพบว่าผู้ป่วยรายหนึ่งจากจำนวนกว่า 30 ราย ที่กำลังอยู่ระหว่างการรักษาต้องใช้ออกซิเจนอัตราไหลสูง แต่ยังร่วมมือรักษาด้วยการนอนคว่ำให้มากเข้าไว้ อาการทั่วไปยังไม่น่าเป็นห่วง กังวลว่าอาจต้องเตรียมการล็อกดาวน์เฉพาะพื้นที่เสี่ยงหรือไม่ ก่อนที่จะมีคำถามตามมาว่า ห่วงใยกิจกรรมเคานต์ดาวน์ในพื้นที่ใกล้เคียงหรือทั่วประเทศควรยอมให้จัดหรือไม่

รวมไปถึงกิจกรรมรวมกลุ่มอื่น เช่น การสวดมนต์ข้ามปี กิจกรรมเหล่านี้มีความเสี่ยงการใกล้ชิดตัว การถอดหน้ากากชั่วคราว การเปล่งเสียง ทั้ง 3 องค์ประกอบล้วนทำให้เกิดการระบาดระลอกแรกจากสนามมวยและสถานบันเทิง บรรดาภาคเอกชนที่รับผิดชอบจัดงาน เช่น ที่โคราชช่วงที่ผ่านมา ถ้ามีความรับผิดชอบต่อสังคมจริงตามที่พูด ต้องกล้าตัดสินใจกลืนเลือดด้วยการประกาศยุติงานโดยไม่มีเงื่อนไข หากดันทุรังแล้วเกิดปัญหาตามหลังมา แล้วชื่อเสียงองค์กรจะป่นปี้กู่ไม่กลับ

โดยที่บทสรุปส่งท้ายในข้อเขียนของคุณหมอรายนี้คือ “มาส่งใจช่วยให้ศึกพม่าประชิดเมืองหลวงครั้งนี้สงบลงโดยพลันอย่างสูญเสียน้อยที่สุด” เป็นเครื่องหมายที่บ่งชี้สถานการณ์เฉพาะหน้าว่าหนักหนาสาหัสขนาดไหน ในภาวะที่รัฐบาลต้องการจะฟื้นคืนเศรษฐกิจให้กระเตื้องขึ้น แต่มีกรณีแบบนี้ คงอยู่ที่การตัดสินใจว่าจะเลือกอย่างไหน มีตัวอย่างให้เห็นแล้วว่า การดันทุรังเพราะเกรงจะเกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจนั้น ในหลายประเทศมีการกลับมาระบาดในระลอกสองอย่างรุนแรงแค่ไหน

จะว่าไปน่าจะเป็นโอกาสอันดีที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ จะต้องตัดสินใจฟื้นมาตรการเข้มข้นบางอย่างกลับมาในพื้นที่ตามที่ได้บอกไป เพราะสถานการณ์มันเด่นชัด ซึ่งจะถือเป็นการยิงกระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว ที่แน่ ๆ คือ เป็นการจำกัดความเคลื่อนไหวของม็อบที่จะกลับมาในช่วงหลังเทศกาลปีใหม่นี้ไปในตัวด้วย ไม่มีจังหวะไหนที่จะทำได้เนียนและไม่มีเสียงวิจารณ์เซ็งแซ่เหมือนจังหวะนี้อีกแล้ว อยู่ที่ว่าจะกล้าหรือไม่

ผลการเลือกตั้งนายกและสมาชิกอบจ.ทั่วประเทศ คงจะรับรู้กันไปเบื้องต้นแล้ว เหลือเพียงการประกาศอย่างเป็นทางการจากกกต.เท่านั้น หลังจากนี้ก็จะได้เห็นกันว่าใครที่ลงสมัครในนามกลุ่มหรืออ้างว่าเป็นพวกอิสระ จะได้เวลาแสดงตัวตนที่แท้จริงว่าอิงแอบอยู่กับพวกไหนอย่างไรบ้าง ส่วนงานหลักของกกต.หลังจากนี้คือ ตรวจสอบเรื่องร้องเรียนและเรื่องที่ยังพิจารณาค้างอยู่โดยเฉพาะปมของแกนนำคณะก้าวหน้าที่ถูกร้องว่าทำกิจกรรมเหมือนพรรคการเมือง

เรื่องนี้ต้องจับตา เพราะมีผลต่อผลการเลือกตั้งสมาชิกอบจ.และนายกอบจ.ในกรณีที่คนของพรรคก้าวหน้าประสบชัยชนะขึ้นมา ถ้ากกต.ฟันเปรี้ยงว่าแกนนำกระทำความผิด ย่อมจะส่งผลต่อผู้สมัครเช่นเดียวกัน ดังนั้น จึงเป็นสิ่งที่หลายฝ่ายเฝ้าติดตามกันอยู่ ส่วนประเด็นการร้องเรียนและที่กกต.จับตามองเป็นพิเศษสำหรับจังหวัดที่มีการแข่งขันกันสูงอยู่ในข่ายดุเดือดนั้น บทสรุปของผู้ชนะจะได้เดินเข้าสู่ตำแหน่งอย่างราบรื่นหรือไม่

โดยจังหวัดที่ถูกเพ่งเล็งเป็นพิเศษคือ นนทบุรี ปทุมธานี เชียงใหม่ นครราชสีมา สกลนคร น่าน พิจิตร กาญจนบุรี นครศรีธรรมราช และตรัง ทั้งนี้ เพราะคู่ชิงชัยนั้นถือว่ามีฐานเสียงที่เหนียวแน่นด้วยกันทั้งสองฝ่าย ดังนั้น กลยุทธ์ที่ใช้หาเสียงรวมไปถึงวิธีการที่ทำให้ได้มาซึ่งคะแนนเสียง จะเป็นจุดที่ถูกตรวจสอบกันอย่างเข้มข้น แต่จากกรณีใบส้มของ สุรพล เกียรติไชยากร ในการเลือกตั้งส.ส.เขต 8 จังหวัดเชียงใหม่ที่ผ่านมา น่าจะทำให้กกต.รอบคอบ รัดกุมกันมากขึ้น

ส่วนข่าวร้อนล้อไปกับการเลือกตั้งอบจ.อีกเรื่องก็คือ ความขัดแย้งในคณะกรรมาธิการพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ส่งผลให้การประชุมเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมาต้องล่มไม่เป็นท่า โดยที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจระบุว่าเป็นเพราะมีการก้าวล่วงไม่เหมาะสมจึงต้องหยุดไว้ก่อน จน รังสิมันต์ โรม ส.ส.พรรคก้าวไกลที่นั่งเป็นกรรมาธิการด้วย ต้องสวนกลับแรง ๆ ว่า “พลเอกประยุทธ์ไม่รู้จริงก็อย่ามาพูดพล่อย ๆ และพยายามโหนเจ้าแบบมั่ว ๆ เพื่อตีกินทางการเมืองแบบนี้ครับ” ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่ที่คนดูโดยทั่วไปเห็นและสรุปตรงกันนี่คืออีกเล่ห์เหลี่ยมของพวกที่ไม่ยอมให้แก้ไขรัฐธรรมนูญนั่นเอง