ปีหน้าไม่ต่างจากปีนี้
ในวันสุดท้ายของการทำงานในปี 2563 เราคงได้ข้อสรุปกันแล้วว่า ปีนี้เป็นปีที่เครียดที่สุด เหนื่อยที่สุด และลำบากที่สุดเมื่อเทียบกับวิกฤติใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในโลก การระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเลวร้ายสุดเท่าที่เคยมี และจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่
กระแสโลก : ฐปนี แก้วแดง
ในวันสุดท้ายของการทำงานในปี 2563 เราคงได้ข้อสรุปกันแล้วว่า ปีนี้เป็นปีที่เครียดที่สุด เหนื่อยที่สุด และลำบากที่สุดเมื่อเทียบกับวิกฤติใหญ่ ๆ ที่เคยเกิดขึ้นในโลก การระบาดของโควิด-19 ได้ทำให้เศรษฐกิจโลกเข้าสู่ภาวะถดถอยเลวร้ายสุดเท่าที่เคยมี และจนถึงวันสุดท้ายของปีแล้ว ก็ยังไม่มีความชัดเจนว่าเมื่อไหร่ที่เศรษฐกิจจะฟื้นตัวอย่างเต็มที่
ความคืบหน้าเกี่ยวกับวัคซีนโควิดได้ทำให้แนวโน้มเศรษฐกิจสดใสขึ้นก็จริง แต่นักเศรษฐศาสตร์เตือนว่าแนวโน้มที่มีการฉีดวัคซีนช้าในประเทศกำลังพัฒนา อาจเป็นอุปสรรคที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจจะกลับมาอยู่ในระดับก่อนเกิดการระบาดแม้แต่ในประเทศที่พัฒนาแล้ว การล็อกดาวน์รอบใหม่ในยุโรปเพื่อยับยั้งการติดเชื้อที่เกิดขึ้นใหม่ ก็อาจทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวได้ช้า
รายงานของซิตี้กรุ๊ปเมื่อต้นเดือนนี้ชี้ว่า การค้นพบวัคซีนเป็นผลกระทบเชิงบวกอย่างกะทันหันที่กินเวลาสั้น ๆ และจะไม่ยาวไปจนถึงปี 2565 อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจโลกจะดีขึ้นอย่างชัดเจนในปีหน้า แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะว่าปีนี้มันแย่มาก จึงไม่ยากที่จะฟื้นตัวได้ดีกว่าปีนี้
ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้าน่าจะมีลักษณะสำคัญ 5 ข้อ คือ
1. กิจกรรมเศรษฐกิจจะลดลงอย่างรุนแรง การแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วของโควิด ซึ่งตรวจพบเป็นครั้งแรกในจีน ได้บีบให้หลายประเทศต้องล็อกดาวน์เป็นเวลาหลายเดือนในปี 2563 ซึ่งทำให้กิจกรรมเศรษฐกิจโตลดลงอย่างเห็นได้ชัด และผลที่ตามมาคือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (จีดีพี) ในหลายประเทศ ต่ำเป็นประวัติการณ์
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) คาดการณ์ว่าเศรษฐกิจโลกอาจหดตัวในปีนี้ 4.4% ก่อนที่จะฟื้นตัวกลับมาโต 5.2% ในปี 2564 แม้รายงานของไอเอ็มเอฟในเดือนตุลาคมชี้ว่าเศรษฐกิจโลกเริ่มฟื้นตัว แต่เตือนว่า จะต้องใช้เวลานาน กว่าเศรษฐกิจจะกลับมาโตเท่าระดับก่อนเกิดวิกฤติ และการเติบโตจะไม่เป็นไปอย่างสม่ำเสมอและยังมีความไม่แน่นอนสูง
2. ยังคงมีการจำกัดการเดินทางอยู่ คุณสมบัติสำคัญอย่างหนึ่งของการล็อกดาวน์เพื่อควบคุมไวรัสโคโรนาทั่วโลกคือการปิดพรมแดนทั้งหมดหรือบางส่วน ซึ่งทำให้การเดินทางระหว่างประเทศต้องหยุดชะงักลง
จากข้อมูลของ องค์การการท่องเที่ยวโลกของสหประชาชาติ จนถึงวันที่ 1 พฤศจิกายน มีมากกว่า 150 ประเทศที่ได้ผ่อนคลายข้อจำกัดในการเดินทางที่เกี่ยวกับโควิด แต่ก็ยังคงมีข้อจำกัดในการเดินทางข้ามพรมแดนอยู่อีกมาก เช่น บางประเทศเปิดพรมแดนให้กับบุคคลบางสัญชาติหรือบุคคลที่มาจากบางปลายทาง ผู้ที่จะเดินทางเข้าประเทศจะต้องแสดงผลทดสอบโควิด-19 มีระเบียบให้การกักตัวหรือแยกตัวเองเมื่อเดินทางไปถึง มาตรการจำกัดการเดินทางเหล่านี้น่าจะยังคงอยู่ในปีหน้าเพราะว่ายังคงมีการระบาดในส่วนใหญ่ของโลก
3. การว่างงานจะเพิ่มขึ้น ผลที่ตามมาจากความซบเซาทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการระบาดของโควิด-19 ที่เป็นเรื่องใหญ่มาก คือ มีการว่างงานเพิ่มขึ้นทั่วโลก องค์การเพื่อการพัฒนาและความร่วมมือทางเศรษฐกิจ (โออีซีดี) ชี้ว่า ในบางประเทศ โควิด-19 มีผลกระทบในช่วงต้นต่อตลาดแรงงาน มากกว่าในช่วงเดือนแรก ๆ ของวิกฤติการเงินโลกเมื่อปี 2551 ถึง 10 เท่า
กลุ่มคนงานที่เปราะบางกำลังแบกรับกับวิกฤติ ส่วนคนงานที่ได้รับค่าตอบแทนต่ำเป็นกุญแจสำคัญที่จะสร้างความมั่นใจว่าจะมีบริการที่จำเป็นอย่างต่อเนื่องในระหว่างการล็อกดาวน์ ซึ่งมักมีความเสี่ยงมากต่อไวรัสขณะทำงาน คนงานเหล่านี้ ยังเดือดร้อนจากการสูญเสียตำแหน่งงานหรือรายได้ด้วย
4. รัฐบาลจะมีหนี้มากขึ้น รัฐบาลได้เพิ่มการใช้จ่ายเพื่อปกป้องตำแหน่งงานและช่วยเหลือคนงาน รายงานของไอเอ็มเอฟในเดือนตุลาคมชี้ว่า รัฐบาลทั่วโลกมีมาตรการรองรับผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการระบาดของโควิด-19 ทั้งหมด 12 ล้านล้านดอลลาร์ การใช้จ่ายในระดับที่รุนแรงเช่นนั้น ได้ทำให้หนี้สาธารณะเพิ่มขึ้นสูงสุดตลอดกาล แต่ไอเอ็มเอฟก็ยังแนะนำว่า รัฐบาลต่าง ๆ ไม่ควรจะเลิกอุดหนุนทางการคลังเร็วเกินไป
ตามความเห็นของไอเอ็มเอฟ ยังเร็วเกินไปที่รัฐบาลจะยกเลิกการอุดหนุนเป็นพิเศษเนื่องจากคนงานจำนวนมากยังคงว่างงาน ธุรกิจขนาดเล็กยังคงลำบาก และผลจากการระบาดของโควิด ประชาชน 80-90 ล้านคน น่าจะตกอยู่ในภาวะยากจนเป็นพิเศษในปีนี้
5. ธนาคารกลางเข้าแทรกแซง ธนาคารกลางได้เข้าอุดหนุนเศรษฐกิจด้วยการลดดอกเบี้ย ดอกเบี้ยในหลายประเทศอยู่ในระดับต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งจะช่วยให้รัฐบาลบริหารหนี้ได้ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งนโยบายมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจทั่วโลก ได้ลดดอกเบี้ยลงเหลือใกล้ศูนย์และสัญญาว่าไม่ขึ้นดอกเบี้ย จนกว่าเงินเฟ้อจะเกิดเป้าหมายที่ 2%
ธนาคารกลางในเศรษฐกิจที่พัฒนาแล้ว เช่น เฟดและธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ยังได้ซื้อสินทรัพย์เพื่ออัดฉีดเงินมากขึ้นเข้าสู่ระบบการเงิน ขณะเดียวกัน ธนาคารกลางในตลาดเกิดใหม่ก็ได้นำนโยบายซื้อสินทรัพย์มาใช้มากขึ้นเมื่อสำรวจแนวทางที่จะสนับสนุนเศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการระบาดของไวรัสโคโรนา
เมื่อดูจากคุณสมบัติ 5 ข้อนี้ ภาวะเศรษฐกิจในปีหน้า คงไม่น่าจะต่างหรือดีกว่าปีนี้สักเท่าไหร่ ต้องควบคุมการระบาดของโควิด-19 ให้ได้เท่านั้น เศรษฐกิจทั่วโลกจึงจะฟื้นตัวได้เร็วและอย่างแรง
คงต้องเตรียมใจ เผื่อใจ และทำใจกันอีกปีว่า ยังคงต้องเครียด เหนื่อย และกดดันกันอีกปี