TCMC วิ่งแรง 9% นิวไฮรอบ 1 ปี ลุ้นผลงานปี 63 โตเด่น รับออเดอร์ทะลัก
TCMC วิ่งแรง 9% นิวไฮรอบ 1 ปี ลุ้นผลงานปี 63 โตเด่น รับออเดอร์ทะลัก โดย ณ เวลา 16.04 น. ราคาอยู่ที่ 1.92 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 9.09% สูงสุดที่ 2.08 บาท ต่ำสุดที่ 1.76 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 109.51 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้นบริษัท ทีซีเอ็ม คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ TCMC ล่าสุด ณ เวลา 16.04 น. อยู่ที่ 1.92 บาท บวก 0.16 บาท หรือ 9.09% สูงสุดที่ 2.08 บาท ต่ำสุดที่ 1.76 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 109.51 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวเพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 1 ปี นับตั้งแต่ราคาหุ้นอยู่ที่ระดับ 1.97 บาท เมื่อวันที่ 24 ม.ค.63
นายพิมล ศรีวิกรม์ ประธานกรรมการ TCMC เปิดเผยว่า แนวโน้มผลงานไตรมาส 4/63 จะเติบโตโดดเด่นต่อเนื่อง ภายหลังจากไตรมาส 3/63 กำไรสุทธิทำนิวไฮที่ระดับ 83.25 ล้านบาท เพราะทุกธุรกิจเริ่มกลับมาเติบโต โดยเฉพาะ ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ ที่มีปริมาณคำสั่งซื้อ (ออเดอร์) เข้ามาสูงมาก จนกำลังผลิตเต็ม 100% ซึ่งมียอดออเดอร์รอส่งมอบยาวถึงปลายไตรมาส 1/64
โดย ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ คิดเป็นสัดส่วน 43.19% ของรายได้รวม ที่ดำเนินงานโดย DM Midlands Holdind Limited หรือ DMM และ Alstons Furniture Group Limited (Alstons) ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายเฟอร์นิเจอร์หุ้มเบาะรายใหญ่ในประเทศอังกฤษนั้น ล่าสุดได้รับอานิสงส์ Covid-19 ทั่วโลก ซึ่งทำให้ 1.ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ขนาดเล็กต่างปิดกิจการ 2.ช่วง Covid-19 ทำให้คนหยุดอยู่บ้านและต้องการซื้อเฟอร์นิเจอร์และของประดับตกแต่งบ้านสูงขึ้น และ 3.การแย่งลูกค้ามาจากคู่แข่ง ซึ่งทางบริษัทได้เปรียบในเรื่องดีไซน์และความสัมพันธ์กับบริษัทผู้ค้าปลีก
ดังนั้น บริษัทเตรียมขยายโรงงานผลิตเฟอร์นิเจอร์เพิ่มเติมอีก 40% ของกำลังผลิตทั้งหมด เพื่อรองรับออเดอร์ที่จะเข้ามามากขึ้น ไม่เพียงเท่านั้น ในปี 2564 บริษัทตั้งงบลงทุนราว 5-7 ล้านปอร์ด (กว่า 200 ล้านบ.) เพื่อเดินหน้าเจรจาเข้าซื้อกิจการ (เทกโอเวอร์) ธุรกิจเฟอร์นิเจอร์ในประเทศอังกฤษ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างเจรจา 1 ราย คาดว่าจะสร้างรายได้เข้ามาไม่ต่ำกว่า 20% ต่อปี ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในไตรมาส 1/64 นี้ เพื่อบรรลุเป้าหมายขึ้นเป็น ผู้ผลิตเฟอร์นิเจอร์รายใหญ่ติดอันดับ 1-2 ในประเทศอังกฤษ
พร้อมกันนี้บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการผลักดัน บริษัทย่อย Alstons เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นดาวโจนส์ด้วย คาดน่าเห็นความคืบหน้าในปี 2564 และสามารถเข้าตลาดหุ้นดาวโจนส์ได้ภายในปี 2565 รวมถึงบริษัทอยู่ระหว่างเจรจาเพื่อเข้าเทกโอเวอร์บริษัทในสหรัฐอเมริการอีกด้วย
ขณะที่ ธุรกิจพรมและผ้าหุ้มบุในรถยนต์ คิดเป็นสัดส่วน 15% ของรายได้รวม กลับมาเติบโตได้ดี ส่วน กลุ่มธุรกิจพรมและวัสดุปูพื้น คิดเป็นสัดส่วน 35% ของรายได้รวม จะกลับมาโดดเด่นหลัง Covid-19