คุณภาพนักวิเคราะห์หุ้น
ข้อสังเกตเล็ก ๆ จาก “ขาใหญ่” ในตลาดยามนี้ระบุว่า ดูเหมือนดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยจะชี้นำดัชนีดาวโจนส์มากกว่าตามต่อเนื่องกัน นับตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เริ่มจะเข้าเค้าขึ้นมาพอสมควร
พลวัตปี 2021 : วิษณุ โชลิตกุล
ข้อสังเกตเล็ก ๆ จาก “ขาใหญ่” ในตลาดยามนี้ระบุว่า ดูเหมือนดัชนี SET ของตลาดหุ้นไทยจะชี้นำดัชนีดาวโจนส์มากกว่าตามต่อเนื่องกัน นับตั้งแต่ปีใหม่เป็นต้นมา เริ่มจะเข้าเค้าขึ้นมาพอสมควร
ยามนี้บรรดานักวิเคราะห์หลายสำนักบ้านเราเริ่มออกโรงกันว่า มีภาวะ bearish divergence เกิดขึ้นบ่งบอกว่าตลาดควรต้องพักฐานพอสมควร เป็นการพักเหนื่อย ดาวโจนส์กับราคาน้ำมันก็พากันพักตามไปด้วย แปลกพอสมควร
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ ยังคงมีทิศทางของการพักรบพอสมควร ดังจะเห็นได้จากมูลค่าซื้อขายที่หล่นร่วงมาใต้ 80,000 ล้านบาท และปิดตลาดลดลงเล็กน้อยแบบไซด์เวย์มีเชิงพอสมควร ไม่ถึงกับแพนิกอะไรมากมาย
ข้ออ้างของนักวิเคราะห์หลายสำนักบ้านเราวานนี้ที่บอกว่าตลาดไทยกังวลว่า เฟดฯ อาจจะขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ภายหลังจากนางเจเนต เยลเลน ว่าที่รมว.คลัง (แก่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา) ออกมาส่งซิกว่า ค่าเงินดอลลาร์ต้องเป็นไปตามกลไกตลาดซึ่งนักตีความในวอลล์สตรีทระบุว่า อาจนำไปสู่การที่เฟดอาจขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด ซึ่งเป็นเรื่องตลกเพราะกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ไม่มีอำนาจพูดเรื่องอัตราดอกเบี้ยเหมือนเฟดฯ
ข้อเท็จจริงน่าจะเกิดจากราคาหุ้นบ้านเราแพงเกินจริงจากการคาดเดาว่าผลประกอบการไตรมาสที่สี่หรืองวดส่งท้ายปี 2563 ของหุ้นกลุ่มธนาคารจะย่ำแย่เกินคาด น่าจะสมเหตุสมผลกว่า
คำอธิบายที่ดูไม่ค่อยสมจริงของนักวิเคราะห์ทำให้เกิดคำถามถึงคุณภาพของนักวิเคราะห์หลักทรัพย์บ้านเรากันพอสมควร แต่การตั้งคำถามถึงคุณภาพนั้น เป็นคำถามที่เป็นดาบสองคม เพราะบางครั้งขึ้นกับคำว่า “ถูกต้อง” หรือ “ถูกใจ” มากกว่า คำถาม คาดว่าแนวรับที่แท้จริงอยู่ตรงไหนระหว่าง 1,500 หรือ 1,450 จุด
คำว่านักวิเคราะห์นั้น หากยึดตามหลักวิชาการทั่วไปตามนิยามของ Investopedia จะหมายถึง เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินที่มีความเชี่ยวชาญในการประเมินข้อมูลทางการเงินและการลงทุน ที่มีเงื่อนไขกำกับว่า สามารถทำผิดได้
ดังที่ วอร์เรน บัฟเฟตต์ เคยเย้ยหยันเอาไว้ว่า ตลาดหุ้นมีความแปลกตรงที่เศรษฐี (ผู้มีเงินออม) นิยมถามหรือติดตามถามยาจก (นักวิเคราะห์ที่กินรายได้เป็นเงินเดือนประจำ) ว่าทำไมและอย่างไรจึงจะรวยขึ้น นั่นเอง
นักวิเคราะห์สามารถผิดพลาดได้เพราะการวิเคราะห์นั้นใช้ข้อมูลจากอดีตที่มีอยู่เพื่อคาดเดาอนาคตความเป็นไปได้ที่จะเกิด “ความบกพร่องของพลาโต้” จึงเป็นไปได้เสมอ ทำให้บทวิเคราะห์มี disclaimer กำกับไว้ด้วยเพื่อป้องกันตัวว่า ไม่ใช่คำชี้แนะให้ซื้อหรือขาย
Disclaimer ที่มีเอาไว้ แม้จะรู้ทั้งรู้ว่าโกหกหน้าด้าน ๆ แต่ก็เป็นไปอย่างถูกกฎหมายเพื่อให้รู้ว่านักลงทุนที่เชื่อนักวิเคราะห์ต้องจ่าย “ค่าโง่” เองจะกล่าวโทษนักวิเคราะห์ว่า “พาจน” หรือ “หลอกลวง” ไม่ได้
โดยทั่วไปแล้ว ทางทฤษฎี มีการแบ่งนักวิเคราะห์ออกเป็นสองพวกง่าย ๆ คือพวก “โลกสวย” แนะให้ซื้อ และฝ่าย “ดร.ดูม” แนะให้ขาย โดยมีคำอธิบายบทบาทต่างกันของนักวิเคราะห์ฝั่งซื้อกับฝั่งขายที่ชัดเจนเอาไว้ว่า
– นักวิเคราะห์ฝั่งซื้อ ทำงานให้กับผู้จัดการกองทุนที่โบรกเกอร์กองทุนรวมและ บริษัท ที่ปรึกษาทางการเงินและระบุโอกาสในการลงทุนสำหรับ บริษัท ของตน
นักวิเคราะห์ฝั่งซื้อ เป็นนักวิเคราะห์ทางการเงิน ที่ช่วยนายจ้างในการตัดสินใจว่าจะใช้จ่ายเงินอย่างไรไม่ว่าจะหมายถึงการลงทุนในหุ้นและหลักทรัพย์อื่น ๆ สำหรับกองทุนในบ้านการซื้ออสังหาริมทรัพย์เพื่อรายได้ (ในกรณีของ บริษัท การลงทุนด้านอสังหาริมทรัพย์) หรือการจัดสรรเงินเพื่อการตลาด นักวิเคราะห์บางคนไม่ได้ทำงานให้กับนายจ้างรายใดรายหนึ่ง แต่เป็น บริษัท ของบุคคลที่สามที่ให้การวิเคราะห์ทางการเงินแก่ลูกค้า สิ่งนี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าของสิ่งที่นักวิเคราะห์ทางการเงินทำ
โดยทั่วไป นักวิเคราะห์การเงินฝั่งซื้อแทบจะไม่มีคำพูดสุดท้ายว่านายจ้างหรือลูกค้าใช้จ่ายเงินของตนอย่างไร อย่างไรก็ตามแนวโน้มที่พวกเขาค้นพบและการคาดการณ์ที่พวกเขาทำนั้นมีค่ายิ่งในกระบวนการตัดสินใจ ด้วยตลาดการเงินทั่วโลกที่พัฒนาไปอย่างรวดเร็วกว่าที่เคยและสภาพแวดล้อมด้านกฎระเบียบที่เปลี่ยนแปลงไปทุกวันจึงเป็นเหตุผลที่ความต้องการนักวิเคราะห์ทางการเงินที่มีทักษะด้านการซื้อจะเพิ่มขึ้นในอนาคต
– นักวิเคราะห์ฝั่งขาย ทำงานประเมินและเปรียบเทียบคุณภาพของหลักทรัพย์ในภาคธุรกิจหรืออุตสาหกรรมนั้น ๆ จากการวิเคราะห์นี้พวกเขาจึงเขียนรายงานการวิจัยพร้อมคำแนะนำบางอย่างเช่น “ซื้อ” “ขาย” “ซื้อ” “ขายทันที” หรือ “ถือ” พวกเขายังติดตามหุ้นที่อยู่ในพอร์ตการลงทุนของกองทุนเพื่อกำหนดว่าเมื่อใด / หากสถานะของกองทุนในหุ้นนั้นควรจะขายได้ คำแนะนำของนักวิเคราะห์การวิจัยเหล่านี้มีน้ำหนักมากในอุตสาหกรรมการลงทุนรวมถึงสำหรับผู้ที่ทำงานใน
นักวิเคราะห์ฝั่งขายที่เก่งกาจนั้น อาจจะมีชื่อเสียงที่สุด (และได้รับค่าตอบแทนสูงที่สุด) โดยเฉพาะคนที่ทำงานด้านการขายของธนาคารเพื่อการลงทุนขนาดใหญ่ นักวิเคราะห์เหล่านี้ช่วยให้ธนาคารกำหนดราคาผลิตภัณฑ์การลงทุนของตนเองและขายในตลาดกลาง พวกเขารวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับหุ้นและพันธบัตรของธนาคารและใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณเพื่อคาดการณ์ว่าหลักทรัพย์เหล่านี้จะดำเนินการอย่างไรในตลาด จากการวิจัยนี้พวกเขาให้คำแนะนำซื้อและขายแก่ลูกค้าของธนาคารโดยนำพวกเขาไปเป็นหลักทรัพย์บางประเภทจากเมนูผลิตภัณฑ์ของธนาคารตราสารทุนฝั่งขายมักทำงานให้กับธนาคารเพื่อการลงทุนขนาดใหญ่และออกคำแนะนำซื้อขายและถือคำแนะนำตลอดจนการวิจัยเฉพาะ บริษัท
นอกเหนือจากนักวิเคราะห์ทั้งสองกลุ่มหลักแล้ว สื่อและคนในวงการมักมีเรื่องเสียดสีหรือเย้ยหยันว่า มีนักวิเคราะห์อีกประเภทหนึ่งนั้นคือ นักวิเคราะห์ไร้ฝั่ง ทำการวิเคราะห์แบบไม้หลักปักขี้เลน แกว่งไกวไปตามสถานการณ์แบบ “มือใหม่หัดขับ” จากความไม่แน่นอนของงานที่ออกมาซึ่งคนในวงการรู้ดี แต่ยากจะบอกชื่อเป็นรายบุคคลได้ เพราะอาจจะเข้าข่ายหมิ่นประมาทตามกฎหมายได้ง่าย
คำถามคือ เมื่อนักลงทุนต้องฝากชีวิตบางส่วนไว้กับผู้เชี่ยวชาญที่มีเงื่อนไขกำกับคุณภาพด้วยเช่นนี้ความเสี่ยงย่อมมากขึ้นหรือไม่
คำตอบขึ้นอยู่กับคุณภาพของนักลงทุนเป็นสำคัญว่า จะยิ้มจ่ายค่าโง่มากน้อยแค่ไหน และยาวนานเพียงใด
พูดง่าย ๆ คือ คุณภาพของนักวิเคราะห์ขึ้นอยู่กับคุณภาพของนักลงทุนเป็นสำคัญ
เอวัง!!