หุ้นจะพุ่งรับ ‘ไบเดน’ ?

โจ ไบเดน ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้ และสิ่งที่นักลงทุนสงสัยคือตลาดหุ้นจะดีหรือไม่ และแผนต่อสู้โควิดและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านของเขาจะได้ผลเพียงไร


กระแสโลก : ฐปนี แก้วแดง

โจ ไบเดน ได้เข้ารับตำแหน่งเป็นประธานาธิบดีคนที่ 46 ของสหรัฐฯ อย่างเป็นทางการแล้วในวันนี้  และสิ่งที่นักลงทุนสงสัยคือตลาดหุ้นจะดีหรือไม่ และแผนต่อสู้โควิดและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านของเขาจะได้ผลเพียงไร    

ไบเดนโชคดีตรงที่ได้เข้าไปนั่งในทำเนียบขาวในขณะที่ตลาดหุ้นมีลมท้ายเครื่อง (tailwind) มากสุดนับตั้งแต่วันเลือกตั้งประธานาธิบดี เมื่อย้อนกลับไปดูข้อมูลถึงปี 2495 เป็นอย่างน้อย

จากข้อมูลของบริษัทวิจัย CFRA ที่เริ่มตั้งแต่ปี 2495 การปรับตัวขึ้นเกือบ 13% นับตั้งแต่วันเลือกตั้งที่ 3 พฤศจิกายน จะเป็นการปรับตัวขึ้นมากสุดของดัชนีเอสแอนด์พี 500 ระหว่างการเลือกตั้งจนถึงวันสาบานตน หากการปรับตัวนั้นยังคงอยู่

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ เคยปรับตัวขึ้นดีสุด 8.8%  เมื่อประธานาธิบดี จอห์น เอฟ. เคนเนดี เข้ารับตำแหน่ง และตามมาด้วยการปรับตัวขึ้น 6.3% เมื่อประธานาธิบดี ดไวร์ ไอเซนอาวร์เข้ารับตำแหน่ง และดีดตัว 6.2% เมื่อประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เข้ารับตำแหน่ง

แผนกระตุ้นเศรษฐกิจ 1.9 ล้านล้านดอลลาร์ที่ไบเดนได้ประกาศในสัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ตลาดหุ้นปรับตัวขึ้นในช่วงนี้ และมันจะเป็นโฟกัสสำคัญของตลาดต่อไป โดยต้องรอดูว่ามันจะผ่านความเห็นชอบจากสภาคองเกรสหรือไม่

ในขณะเดียวกัน ตลาดก็จะจับตาดูว่าคณะบริหารของไบเดนจะสามารถควบคุมการระบาดและฉีดวัคซีนได้ดีกว่าคณะบริหารของทรัมป์หรือไม่เนื่องจากในขณะนี้สหรัฐฯ ยังมียอดผู้ติดเชื้อสูงกว่า 24 ล้านคน และมีผู้เสียชีวิตเกือบสี่แสนคนแล้ว

อย่างไรก็ดี การเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของไบเดน มีขึ้นในขณะที่มีความตึงเครียดภายในประเทศอย่างรุนแรงหลังจากที่ ม็อบที่สนับสนุนประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ได้บุกจู่โจมอาคารรัฐสภาในวอชิงตันขณะที่สภากำลังรับรองชัยชนะของไบเดน  และวุฒิสภายังได้ลงมติในสัปดาห์ที่ผ่านมาให้พิจารณาถอดถอนทรัมป์ฐานยั่วยุและปลุกปั่นม็อบ

หลังจากเกิดความรุนแรงดังกล่าวขึ้น ยังมีการชุมนุมประท้วงเป็นกลุ่มย่อย ๆ ตามอาคารรัฐสภาทั่วสหรัฐฯ อีกในสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา  และเอฟบีไอได้ออกมาเตือนว่าจะมีการประท้วงของกลุ่มคนที่มีอาวุธก่อนจะมีพิธีสาบานตน เมืองหลวงของสหรัฐฯ ได้อยู่ภายใต้ภาวะฉุกเฉินก่อนที่จะมีพิธีสาบานตน  การรักษาความปลอดภัยเป็นไปอย่างเข้มงวดในกรุงวอชิงตัน ดี.ซี. มีกองกำลังป้องกันชาติถึง 15,000 คนนอกเหนือจากกำลังตำรวจอีกหลายพันคน

สิ่งที่ตลาดกังวลคือจะเกิดเหตุรุนแรงเพิ่มอีกหรือไม่ทั้งในวอชิงตันหรือในเมืองหลวงของรัฐต่าง ๆ และทำให้เกิดคำถามว่า ไบเดนจะสามารถสร้างความสมานฉันท์ในประเทศได้หรือไม่ หลังจากที่ได้เกิดการแบ่งแยกอย่างรุนแรง

นักกลยุทธ์การเมืองคาดว่าไบเดนจะได้แผนกระตุ้นเศรษฐกิจที่มีขนาดเล็กลง โดยอาจลดลงเหลือประมาณ 1 ล้านล้านดอลลาร์ เมื่อดูจากการหารือในก่อนหน้านี้ของแนนซี่ เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรและสตีเวน มนูชิน รัฐมนตรีคลังคนที่เพิ่งพ้นจากตำแหน่ง

การเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการของไบเดนยังมีขึ้นในขณะที่บริษัทสหรัฐฯ กำลังจะเริ่มแถลงผลประกอบการไตรมาสสี่  แต่จนถึงขณะนี้ดูเหมือนว่าหุ้นบลูชิพจำนวนมากสอบไม่ผ่าน หลายบริษัทยังคงแสดงความกังวลต่อผลกระทบของการระบาดที่จะมีต่อพฤติกรรมของผู้บริโภคและธุรกิจ

จากการประเมินของแฟคต์เซ็ต รีเสิร์ช คาดว่าบริษัทที่อยู่ในดัชนีเอสแอนด์พี 500 จะมีกำไรลดลงประมาณ 7% ในช่วงไตรมาสสี่ของปีที่แล้ว เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อนหน้า แต่ก็กำไรก็ควรจะฟื้นตัวกลับมาในช่วงไตรมาสหนึ่งของปีนี้ประมาณ 17% และจะเพิ่มเป็น 46% ในช่วงไตรมาสสอง และในปี 2564 ทั้งปี บริษัทควรจะมีกำไรมากกว่า 22%

แซม สโตวอลล์ หัวหน้านักกลยุทธ์การลงทุนของ CFRA กล่าวว่า หากประวัติศาสตร์เป็นตัวชี้นำใด ๆ ได้ ตลาดหุ้นควรจะดีในยุคของไบเดน โดยเมื่อดูข้อมูลย้อนไปถึงปี พ.ศ. 2495 ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 3.5% ในช่วง 100 วันแรกของการทำงานของประธานาธิบดีที่มาจากพรรคเดโมแครต ในขณะที่ในช่วงเวลาเดียวกัน ดัชนีปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเพียง 0.5% หากประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน

นอกจากนี้ดัชนีเอสแอนด์พี 500 ยัง ปรับตัวขึ้นเฉลี่ย 11.3% ในช่วงปีแรกของประธานาธิบดีจากพรรคเดโมแครต ในขณะที่ปรับตัวขึ้นเฉลี่ยเพียง 5.7% หากเป็นประธานาธิบดีมาจากพรรครีพับลิกัน เมื่อย้อนดูข้อมูลไปถึงช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง

อย่างไรก็ดี เมื่อดูในภาพใหญ่ แผนกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดนอาจจะสร้างปัญหามากกว่าที่นักการเมืองกำลังต่อรองกัน และแน่นอนว่ามันจะทำให้มีคนได้และเสียในตลาดหุ้นและในเศรษฐกิจ

คาดว่า คนที่จะได้ในระยะใกล้คือธนาคาร โดยธนาคารทำเงินได้ส่วนหนึ่งเพราะกู้ยืมมาด้วยดอกเบี้ยระยะสั้น แต่ปล่อยกู้ด้วยดอกเบี้ยระยะยาว  และประโยชน์ที่ธนาคารได้ จะช่วยชดเชยความเสี่ยงที่อาจจะเกิดจากการออกระเบียบมากขึ้นของพรรคเดโมแครตได้

ส่วนคนที่มีแนวโน้มเสียคือคนแก่ คนงานที่มีรายได้ต่ำและนักลงทุนอาจจะเป็นคนที่ได้ในระยะใกล้แต่เสียในระยะกลาง นอกจากนี้ ทองคำ หุ้นไบโอเทคและหุ้นเมืองแร่ ก็อาจจะเสียประโยชน์ด้วย  แผนกระตุ้นขนาดใหญ่อาจจะดีในระยะสั้นแต่มันสร้างปัญหาในระยะยาว มีเสียงเตือนจากนักเศรษฐศาสตร์ว่า มันอาจทำให้เศรษฐกิจร้อนแรงเกินไปและเงินเฟ้อสูงพอที่จะทำให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ต้องขึ้นดอกเบี้ยควบคุม และการเคลื่อนไหวใด ๆ ของเฟดเคยทำให้เกิดภาวะถดถอยมาแล้วหลายครั้งในอดีต

ตลาดเกิดใหม่ในเอเชียก็อาจได้รับผลกระทบจากแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดนเช่นกัน เจมส์ ซัลลิแวน หัวหน้าฝ่ายวิจัยหุ้นเอเชียของเจพีมอร์แกน กล่าวว่า ก่อนที่จะมีการเปิดเผยรายละเอียดแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดน นักลงทุนส่วนใหญ่มองบวกมากต่อเอเชียและตลาดเกิดใหม่เมื่อเทียบกับสหรัฐฯ และในช่วงสองสามเดือนที่ผ่านมา มีเงินไหลเข้าเอเชีย (ยกเว้นญี่ปุ่น) 18 สัปดาห์ติดต่อกัน แต่ในขณะนี้มีความเป็นไปได้มากที่กองทุน จะเริ่มหมุนเงินออกจากตลาดเกิดใหม่ในเอเชียกลับไปยังสหรัฐฯ เพราะผลจากการกระตุ้นการเติบโตจากแผนของไบเดน

ยังไม่รู้ว่านโยบายและแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของไบเดนจะทำให้หุ้นดีขึ้นจริงตามที่ประวัติศาสตร์ได้ชี้ไว้หรือไม่ แต่เจเน็ต เยลเลน อดีตประธานธนาคารกลางสหรัฐที่ได้รับการเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรีคลังหญิงคนแรกของสหรัฐฯ ย้ำว่า ในขณะนี้อเมริกาต้อง “Act Big” และ เชื่อว่าแผนกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีประโยชน์มากกว่าค่าใช้จ่าย โดยเฉพาะอย่างยิ่งหากใส่ใจที่จะช่วยเหลือผู้คนที่ต้องดิ้นรนต่อสู้มาเป็นเวลานาน

Back to top button