พาราสาวะถี

ส่งสัญญาณกันอย่างไรก็เอากันให้ชัด ไม่ใช่ขัดแย้งในแง่ข้อมูลจนสร้างความสับสนให้กับประชาชน หลังการประชุมครม. ผู้นำเผด็จการสืบอำนาจบอกประเมินสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วแนวโน้มลดลง ปลายเดือนนี้จะพิจารณาเรื่องปลดล็อก แต่คล้อยหลังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ฟัง แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ทีมโฆษกศบค.แถลงตัวเลขของผู้ติดเชื้อมีจำนวนที่ลดลงจริง แต่สิ่งที่ทิ้งท้ายชวนให้คิดคือสถานการณ์การระบาดในพื้นที่กทม.


อรชุน

ส่งสัญญาณกันอย่างไรก็เอากันให้ชัด ไม่ใช่ขัดแย้งในแง่ข้อมูลจนสร้างความสับสนให้กับประชาชน หลังการประชุมครม. ผู้นำเผด็จการสืบอำนาจบอกประเมินสถานการณ์แพร่ระบาดของโควิด-19 แล้วแนวโน้มลดลง ปลายเดือนนี้จะพิจารณาเรื่องปลดล็อก แต่คล้อยหลังไม่ถึง 24 ชั่วโมง ฟัง แพทย์หญิงอภิสมัย ศรีรังสรรค์ ทีมโฆษกศบค.แถลงตัวเลขของผู้ติดเชื้อมีจำนวนที่ลดลงจริง แต่สิ่งที่ทิ้งท้ายชวนให้คิดคือสถานการณ์การระบาดในพื้นที่กทม.

โดยหมอเบิร์ทบอกว่า กทม.ผู้ที่อยู่ในพื้นที่เสี่ยงไม่เฝ้าระวังตัวเอง เดินทางไปไหนตามปกติ ทำให้กทม.มีการติดเชื้อไปที่วงระบาดกลุ่มที่ 2 และ 3 ทำให้ติดเชื้อในชุมชนโดยไม่รู้ตัว กว่าจะรู้ตัวก็พบกลุ่มคลัสเตอร์ใหม่ต่อไปเรื่อย ๆ สิ่งที่สื่อมาเช่นนี้ต้องการบอกอะไร ส่งสัญญาณว่าในพื้นที่เมืองหลวงไม่ปลอดภัย มีโอกาสที่จะพบการระบาดในระลอกสามเป็นวงกว้างอย่างนั้นหรือ หรือแค่ต้องการบอกว่าให้คนกรุงเทพฯ ตั้งการ์ดสูงและช่วยกันโหลดแอปพลิเคชันหมอชนะให้เยอะ ๆ จะได้รู้ว่าจุดไหนเป็นพื้นที่เสี่ยงสูง

ไม่ใช่การจับผิดแต่ต้องการให้เกิดการสื่อสารที่ชัดเจน ไม่ต้องไปคิดเองเออเอง จากที่คาดการณ์กันว่าน่าจะดี มันจะกลายเป็นการสร้างความตื่นตระหนก และซ้ำเติมสถานการณ์ไปเสียฉิบ เหมือนกรณีของวัคซีนโควิด-19 เรื่องนี้ไม่ว่าฝ่ายไหนถือว่ามีความผิดพลาดและชวนให้เกิดข้อสงสัยกันทั้งสิ้น ที่เป็นประเด็นแรงเวลานี้ก็กรณีของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ประธานคณะก้าวหน้า กับข้อสังเกตเรื่องวัคซีนแล้วมีปมไปพาดพิงสถาบัน

ทั้งที่เนื้อหาที่ต้องการสื่อเป็นอีกเรื่อง แต่เมื่อเลือกที่จะใช้วิธีการเช่นนี้ ย่อมมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ จึงกลายเป็นตำบลกระสุนตกไปโดยปริยาย สุดท้ายก็ไม่รอดเมื่อ พุฒิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ส่งตัวแทนไปแจ้งความเอาผิดต่อบก.ปอท.ในข้อหาผิดมาตรา 112 และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ ก็ถือเป็นชะตากรรมที่อดีตหัวหน้าพรรคอนาคตใหม่ต้องเผชิญอีกระลอก แต่ถือเป็นช่องทางที่ว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม

ในส่วนของกระทรวงสาธารณสุขนั้น หลังจากเกิดประเด็นดังว่า ก็ดาหน้าออกมาตอบโต้กันนำทีมโดยปลัดกระทรวงไปจนถึงผู้อำนวยการสถาบันวัคซีนแห่งชาติ แจกแจงที่มาที่ไปของการจองวัคซีนเจ้าเดียวคือ บริษัทแอสตร้า เซนเนก้า ที่ผลิตวัคซีนร่วมกับมหาวิทยาลัยอ๊อกซฟอร์ด โดยประเทศไทยได้รับการถ่ายทอดเทคโนโลยีให้ บริษัทสยามไบโอไซเอนด์ เป็นผู้ผลิตในประเทศไทย ซึ่งเชื่อได้เลยว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้ติดใจสงสัยแต่ประการใด

แน่นอนว่า เข้าใจในความรอบคอบของผู้ที่รับผิดชอบคือต้องการวัคซีนที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับคนไทย แต่การที่มีทางเลือกแค่รายเดียว มันเหมาะกับสถานการณ์การควบคุมการระบาดได้เหมือนช่วงเกือบหนึ่งปีที่ผ่านมา แต่พอเกิดเหตุการณ์สมุทรสาครขึ้นมาแค่ตูมเดียว ก็เกิดการตาลีตาเหลือกแจ้นหาวัคซีนเพื่อที่จะนำมาฉีดให้คนไทยเป็นการเร่งด่วน ประเด็นตรงนี้แหละที่มันนำมาซึ่งข้อสงสัย การลุกลี้ลุกลนสุดท้ายจบที่วัคซีนจากจีนนั้น ทำไมต้องเป็นเช่นนั้น

ฟังคำอธิบายจาก นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ตามแผนเดิมมีแผนจัดหามาฉีดประมาณเดือนพฤษภาคมถึงมิถุนายน 2564 แต่เมื่อมีการระบาดมากขึ้นที่จังหวัดสมุทรสาคร อนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่การกระทรวงสาธารณสุข จึงมอบให้กระทรวงสาธารณสุขโดยกรมควบคุมโรคไปเจรจาจัดหาวัคซีน ซึ่งมีการเจรจาประมาณ 4 แห่ง แต่บริษัทเหล่านี้ต้องนำเอกสารมายื่นต่ออย.ด้วย

คำถามคือแล้วไปเคาะเลือกบริษัทจากจีนที่จะนำเข้ามาในเดือนกุมภาพันธ์ถึงเมษายนนี้จำนวน 2 ล้านโดส มีกระบวนการพิจารณาถึงความปลอดภัยและยืนยันกันได้อย่างไร เอกสารที่ยื่นเทียบเคียงกับอีก 3 แห่งแตกต่างกันอย่างไร มีผลทางวิชาการที่ยืนยันได้ขนาดไหน เพราะขนาดของแอสตร้าเซนเนก้าที่ย้ำว่าจองเพียงเจ้าเดียว กระบวนการยังไม่เรียบร้อยสมบูรณ์ แล้วการเร่งนำเข้าวัคซีนจากจีนโดยอ้างสถานการณ์ฉุกเฉินนั้น มันจะการันตีความปลอดภัยได้ขนาดไหน

หากจะอ้างว่ามันย่อมมีความเสี่ยง เช่นนั้นก็ต้องให้อนุทินหรือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นผู้ฉีดเข็มแรกและเข็มที่สองเป็นการประเดิมก่อนก็แล้วกัน ไม่เพียงเท่านั้นการที่นำเข้าวัคซีนจากจีนดังกล่าว ยังถูกครหาและตั้งข้อกังขาจากสังคมด้วยว่าเป็นเพราะมีเจ้าสัวขาใหญ่ของประเทศไปถือหุ้นในบริษัทดังกล่าวด้วยหรือไม่ ในการเรียกร้องความเห็นใจจากสังคมบางครั้งก็ต้องช่วยทำอะไรที่ให้เกิดความโปร่งใส และไม่มีเหตุเชื่อมโยงกับกลุ่มผลประโยชน์กลุ่มหนึ่งกลุ่มใดน่าจะเป็นการดีที่สุด

เมี่อทำไม่ได้และเลือกที่จะเกินกันแบบนี้ ก็ต้องน้อมรับเสียงวิจารณ์ แต่อีกด้านคนที่จะพาดพิงก็ต้องมีข้อมูลในเชิงลึกที่ไม่ใช่การใช้ความรู้สึกไปกล่าวหาเพียงอย่างเดียวด้วย ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือไม่สำหรับสื่อประจำทำเนียบรัฐบาลที่ท่านผู้นำสั่งให้มีการจับทุกคนมาตรวจหาเชื้อโควิดให้หมด ด้วยเหตุผลว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงเพราะทำงานใกล้ชิดกับนายกรัฐมนตรีและรองนายกฯ บนสถานการณ์เช่นนี้ก็คิดเสียว่าดีจะได้สบายใจและไม่ต้องเสียเงินไปตรวจเอง คงไม่มีใครไปมองในมุมอื่น

ส่วนกรณีนี้มองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกเหนือจากต้องดำเนินการตามกฎหมายให้เด็ดขาด จากการที่ มงคล สันติเมธากุล หรือ เยล สมาชิกกลุ่มการ์ดราษฎร อ้างว่าถูกเจ้าหน้าที่กอ.รมน.อุ้มหายไปจากที่พักย่านสมุทรปราการ จนฝ่ายความมั่นคงถูกหลายฝ่ายด่าเละเทะ สุดท้ายกลายเป็นว่าคนที่อ้างว่าถูกอุ้มกุเรื่องขึ้นมา ในเรื่องการดำเนินคดีเป็นหน้าที่ของตำรวจ แต่ผลจากการกระทำดังกล่าวมันจะกระทบต่อกระบวนการเคลื่อนไหวในภาพรวม

สมควรที่พวกเดียวกันจะออกมาประณามว่า ตอแหลอะไรไม่คิดสมองที่มีอยู่ได้ใช้บ้างไหม นอกจากไม่ได้เรื่องแล้วทุกอย่างจะย้อนกลับมาหาฝ่ายเดียวกันทันที เอาแค่จากนี้ไปถ้ามีคนโดนอุ้มจริง จะมีใครกล้าแชร์ กล้าช่วยตามหาอีก ช่วงนี้บรรดาแกนนำทั้งหลายคงจะถือเป็นจังหวะต้องสังคายนาขบวนการกันขนาดใหญ่ ทั้งการคัดกรองคนรวมไปถึงการกำหนดทิศทางว่าจะเดินแบบไหนกันแน่ เผื่อกลับมาใหม่จะได้หนักแน่นมีพลังกว่าเดิม ถ้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจยังยืนระยะอยู่ถึงตอนนั้น

Back to top button