พาราสาวะถี
เอาอีกแล้วกับประโยคตอบโต้เรื่องวัคซีนโควิด-19 ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่า “ถ้าจะให้ข่าวที่ย้อนแย้งกันไม่มีประโยชน์ เพราะท่านไม่ได้บริหารประเทศ เอาเวลาไปหาวิธีเพื่อที่จะได้เข้าบริหารประเทศดีกว่า” สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและอุดมคติทางการเมืองของเสี่ยหนูได้เป็นอย่างดี และไม่ต้องแปลกใจกับการที่สยบยอมอยู่ภายใต้ขบวนการสืบทอดอำนาจ เพราะหลักใหญ่ใจความของคนพรรคนี้คือทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้เป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องคำนึงถึงที่มาว่าจะสง่างามหรือไม่
อรชุน
เอาอีกแล้วกับประโยคตอบโต้เรื่องวัคซีนโควิด-19 ของ อนุทิน ชาญวีรกูล ที่ว่า “ถ้าจะให้ข่าวที่ย้อนแย้งกันไม่มีประโยชน์ เพราะท่านไม่ได้บริหารประเทศ เอาเวลาไปหาวิธีเพื่อที่จะได้เข้าบริหารประเทศดีกว่า” สะท้อนให้เห็นถึงความคิดและอุดมคติทางการเมืองของเสี่ยหนูได้เป็นอย่างดี และไม่ต้องแปลกใจกับการที่สยบยอมอยู่ภายใต้ขบวนการสืบทอดอำนาจ เพราะหลักใหญ่ใจความของคนพรรคนี้คือทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะให้ตัวเองได้เป็นฝ่ายรัฐบาล ไม่ต้องคำนึงถึงที่มาว่าจะสง่างามหรือไม่
ความจริงปัญหาของโควิด-19 ก็เริ่มเป็นที่กังขาตั้งแต่วลีโรคกระจอกอยู่แล้ว จนกระทั่งตัวเองถูกรวบอำนาจโดยผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ เพราะมองเห็นกันแล้วว่าถ้าปล่อยให้คน ๆ นี้ถือธงนำในการแก้ไขปัญหาคงจะเข้ารกเข้าพงกันไปใหญ่ ประเด็นเรื่องของวัคซีนไม่ได้มีอะไรที่จะต้องมาตีโพยตีพาย ในเมื่อมั่นใจว่าสิ่งที่เตรียมการไว้แล้วดีพอ ไม่ต้องเดินตามก้นประเทศใดก็ยืนยันตรงจุดนั้นแล้วก็จบไป ยิ่งแก้ตัวรายวันก็ยิ่งทำให้คนเชื่อว่า การบริหารและตัดสินใจเรื่องนี้มีความผิดพลาด
ที่ป่าวประกาศเตือนคนแสดงความเห็นพร้อมขู่สำทับด้วยถ้อยคำต่าง ๆ นานา ทั้งที่ยืนยันว่ากระบวนการตัดสินใจถูกต้องเป็นที่ยุติแล้ว ก็ปล่อยให้คนเหล่านั้นพูดกันไปประชาชนจะชั่งใจและตัดสินใจเองได้ว่า ข้อมูลของใครเท็จของใครจริง ยิ่งเป็นข้อมูลของส่วนราชการและใช้บุคลาการทางการแพทย์มาการันตีกันขนาดนั้น ก็ไม่เห็นความจำเป็นที่จะต้องมาหวั่นไหวกับคำพูดของบุคคลที่พยายามจะด้อยค่ากันว่า รู้น้อย ไม่รู้จริงแล้วดันทะลึ่งมาวิจารณ์
มากไปกว่านั้น หากเห็นว่าสิ่งที่นำเสนอต่อสาธารณะไม่เป็นความจริง ก็สามารถไปฟ้องร้องดำเนินคดีได้ ทุกอย่างว่าไปตามกฎหมาย เหมือนอย่างกรณีการไปร้องศาลให้ถอดคลิปปิดกั้นการเข้าถึงคลิปการไลฟ์สดเรื่องวัคซีนโควิด-19 ของ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ ที่สุดท้ายศาลสั่งยกคำร้องดังกล่าว นั่นก็เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นว่าทุกอย่างถ้าใช้การคิดเองเออเองหรือมุ่งแต่จะลดทอนความน่าเชื่อถือของฝ่ายตรงข้ามเพียงอย่างเดียว ไม่เกิดประโยชน์ การเลือกไปจบที่กระบวนการยุติธรรมถือเป็นความชอบธรรมของทุกฝ่าย
บอกแล้วว่าการอภิปรายไม่ไว้วางใจที่วางกำหนดการกันไว้ในวันที่ 16-19 กุมภาพันธ์นั้น ฝ่ายขบวนการสืบทอดอำนาจที่เปิดเกมว่าด้วยญัตติไม่เหมาะสมมีการพาดพิงสถาบัน ไม่มีทางปล่อยผ่านไปอย่างแน่นอน พรรคสืบทอดอำนาจจึงเดินเกม 2 หน้า ด้านหนึ่งเจรจากับฝ่ายค้านไปในกรณีเงื่อนเวลาซักฟอกและการเรียงลำดับรัฐมนตรีที่จะถูกอภิปราย ขณะที่อีกทางก็เตรียมการที่จะยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเกี่ยวกับญัตติที่ตัวเองเห็นว่าเป็นปัญหา
ขั้นตอนเหล่านี้อยู่ที่ ชวน หลีกภัย จะเป็นผู้พิจารณา ต้องถึงขั้นว่าเลื่อนการอภิปรายออกไปหรือไม่ ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจ และการเล่นเกมพวกมากลากไปในสภาของพรรคร่วมรัฐบาล ขณะเดียวกัน ก็จะมีกลุ่มคนอีกหลายคณะไปยื่นหนังสือถึงประธานสภาผู้แทนราษฎร เรียกร้องให้ฝ่ายค้านแก้ไขญัตติที่จะมีการซักฟอกทั้งที่ได้ผ่านขั้นตอนนั้นไปแล้ว อยู่ที่ว่าจะกล้าก่อม็อบมาชุมนุมหน้ารัฐสภาหรือไม่ หรือจะเลือกให้ไปจบกันที่การตีความ
การต่อต้านรัฐประหารของเมียนมากลายเป็นการเย้ยหยันประเทศเพื่อนบ้านที่สถานการณ์ทางการเมืองคล้ายกันไปในทันที เมื่อกลุ่มเคลื่อนไหวบางกลุ่มชูสโลแกนต่อต้านรัฐบาลทหารเมียนมาว่า “ถ้าไม่สู้ก็อยู่อย่างไทย” ไม่ต้องบอกว่าสารที่สื่อออกมานั้นหมายถึงอะไร และเป็นการตอกหน้ารัฐบาลสืบทอดอำนาจไปในตัวด้วยว่า การที่เลือกจะสงวนท่าทีไม่แสดงปฏิกิริยาต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเมียนมานั้นมันเท่ากับการแสดงเจตจำนงสนับสนุนรัฐบาลเผด็จการไปโดยปริยาย
ในเมื่อคนพม่าออกมาเรียกร้องกันขนาดนั้น รวมไปถึงการแสดงออกของคนพม่าในประเทศไทยด้วย คณะราษฎรของไทยก็ไม่ยอมจะทอดเวลารอให้สถานการณ์โควิดซาลงไปก่อนแล้วค่อยออกมาเคลื่อนไหว จึงนัดหมายชุมนุมในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ทันที ถือเป็นการท้าทายประกาศของศบค.ฉบับที่ 3 ที่ห้ามการชุมนุมที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโรค ซึ่งนั่นก็จะเป็นบทพิสูจน์ว่าหน่วยงานด้านความมั่นคงจะจัดการต่อกรณีนี้อย่างไร
สำหรับเหตุผลของการนัดรวมตัวกัน หากมองในแง่ของข้อเท็จจริงก็ถือว่าตรงกับใจของคนไทยส่วนใหญ่ ในเมื่อรัฐบาลประยุทธ์ยังคงเพิกเฉยต่อความเดือดร้อนของประชาชน ปล่อยให้คนไทยอดตาย รับกรรมทั้งขึ้นทั้งล่อง งานก็ไม่มี เงินเยียวยาก็ไม่ได้ ทั้งที่ผู้ได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมโรคต่างออกมาเรียกร้อง ยื่นหนังสือขอความเป็นธรรมกันไม่เว้นแต่ละวัน รัฐบาลก็ยังแก้ปัญหาแบบขยักขย่อน ทำงานแบบขอไปที รัฐบาลแบบนี้มีไว้ทำไม
โดยการนัดหมายจัดกิจกรรมดังกล่าว คณะราษฎรจับมือกับเครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน ด้วยการประกาศกร้าว “เราจะไม่ยอมทนอีกต่อไป” สิ่งที่น่าสนใจคือการแสดงออกเชิงสัญลักษณ์ที่เลือกจะใช้เหมือนการเคลื่อนไหวในเมียนมานั่นก็คือการตีเกราะเคาะหม้อ ซึ่งมันก็คือการประชดประชันโครงการแจกเงินของรัฐบาลที่ชื่อว่า “เราชนะ” เป็น “ภาชนะ” แทน น่าติดตามว่าการถือหม้อออกจากบ้านมาตีไล่เผด็จการสืบทอดอำนาจนั้นจะลงเอยอย่างไร
อีกประการที่ถือเป็นจุดวัดใจต่อการดำเนินการของเจ้าหน้าที่ก็คือ การนัดหมายชุมนุมครั้งนี้ มีการขอความร่วมมือทุกคนสวมหน้ากาก เว้นระยะห่าง พกเจลล้างมือ ช่วยกันดูแลตัวเองและผู้ร่วมอุดมการณ์ให้ปลอดภัยจากโควิด-19 จะได้รับการยกเว้นหรือไม่ ด้วยเหตุผลของฝ่ายป้องกันว่าไม่ให้มีการรวมตัวกันของคนหมู่มาก แต่การระบาดหนนี้ก็พิสูจน์กันชัดเจนแล้วว่าเกิดจากความผิดพลาดของฝ่ายรัฐและความเห็นแก่ได้ของฝ่ายเจ้าหน้าที่บางคน ขณะที่ม็อบนั้นจัดกันมาหลายรอบคนเรือนหมื่นเรือนแสนก็ไม่เคยพบว่ามีใครติดโควิด