พาราสาวะถี
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรีที่มีหัวขบวนคือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเริ่มขึ้น โดยที่ฝ่ายรัฐบาลก็ได้ใช้โรงแรมหรูกลางกรุงติวเข้มให้กับรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา ความจริงไม่ต้องมีการดำเนินการอะไรที่ให้เอิกเกริกกันขนาดนั้น เพราะการถูกฝ่ายค้านตรวจสอบในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีแต่ละราย คนที่ทำงานจริงและเชื่อมั่นในความสุจริต โปร่งใส ไม่จำเป็นที่จะต้องมาซักซ้อม เตรียมตัวอะไรให้มากความ
อรชุน
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 24 ชั่วโมง การอภิปรายไม่ไว้วางใจ 10 รัฐมนตรีที่มีหัวขบวนคือผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจะเริ่มขึ้น โดยที่ฝ่ายรัฐบาลก็ได้ใช้โรงแรมหรูกลางกรุงติวเข้มให้กับรัฐมนตรีที่จะถูกซักฟอกไปเรียบร้อยแล้วเมื่อวันเสาร์และอาทิตย์ที่ผ่านมา ความจริงไม่ต้องมีการดำเนินการอะไรที่ให้เอิกเกริกกันขนาดนั้น เพราะการถูกฝ่ายค้านตรวจสอบในเรื่องที่อยู่ในความรับผิดชอบของรัฐมนตรีแต่ละราย คนที่ทำงานจริงและเชื่อมั่นในความสุจริต โปร่งใส ไม่จำเป็นที่จะต้องมาซักซ้อม เตรียมตัวอะไรให้มากความ
กิจกรรมที่จัดขึ้น จึงเป็นเพียงการข่มขวัญฝ่ายตรงข้ามและพยายามสร้างภาพของความปรองดองภายในพรรคร่วมรัฐบาลเท่านั้นเอง ถามว่าสองรัฐมนตรีของพรรคประชาธิปัตย์จะเชื่อถือหรือฟังข้อเสนอแนะจากพรรคสืบทอดอำนาจอย่างนั้นหรือ ในเมื่อคนของตัวเองมีชั่วโมงการบินทางการเมืองเหนือกว่าคนของพรรคแกนนำรัฐบาลทั้งสิ้น เว้นเสียแต่จะมีบางเรื่องที่เคยทำผิดพลาดเกิดบาดแผลในช่วงการระบาดของโควิด-19 ระลอกแรกที่จะต้องมาทำความเข้าใจกันนั่นก็อีกเรื่อง
เช่นเดียวกันกับพรรคภูมิใจไทย อนุทิน ชาญวีรกูล ก็มีแนวทางในการทำงานของตัวเองและพรรคอย่างชัดเจน ไม่ต่างจาก ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ที่มีเรื่องปีนเกลียวกันกับคนในซีกแกนนำรัฐบาลอยู่ไม่น้อยในหลายกรณี จะมีความไว้วางใจมาแลกเปลี่ยนข้อมูลอะไรกัน อาจจะมีข้อดีอยู่ตรงที่ วิษณุ เครืองาม จะเข้ามาชี้แนะช่องทางในการเอาตัวรอดจากการไล่ต้อนของฝ่ายค้าน แต่ของพรรค์นี้มันก็เป็นเรื่องของลีลาเฉพาะตัว และความรู้ ความสามารถของใครของมันหรือเปล่า
ด้วยจังหวะเคลื่อนกันแบบนี้ จึงมีเสียงค่อนขอดมาจาก ประเสริฐ จันทรรวงทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทยที่มองว่า การจัดกิจกรรมใหญ่โตขนาดนี้ของพรรคร่วมรัฐบาล แสดงให้เห็นถึงความวิตกกังวลของรัฐมนตรีที่ถูกอภิปรายไม่ไว้วางใจ หากไม่วิตกกังวลจะไม่ทำถึงขนาดนี้ ถ้าบริสุทธิ์จริง ไม่ต้องเตรียมอะไรก็ได้ หรือถ้าสามารถแก้ข้อกล่าวหาได้ การเตรียมการระดับกระทรวงก็น่าจะเพียงพอแล้ว แต่ครั้งนี้ถึงขั้นเปิดโรงแรมติวกันเลย เข้าใจเลยว่ารัฐบาลมีความกังวลต่อการอภิปรายครั้งนี้
ขณะเดียวกันแม่บ้านพรรคเพื่อไทยยังได้ปรามาสคำคุยโม้โอ้อวดของ สุภรณ์ อัตถาวงศ์ ผู้ช่วยรัฐมนตรีประจำนายกรัฐมนตรีที่อ้างว่าฝ่ายรัฐบาลสามารถล้วงข้อสอบจากฝ่ายค้านมาได้ว่า ไม่ได้กังวล เพราะครั้งนี้ฝ่ายค้านปิดข้อมูลมิดชิดมาก ไม่เปิดประเด็นอะไรเลย ไม่รู้ว่าคนที่มีฉายาแรมโบ้ไปทราบข้อมูลอะไรมาไม่ทราบ แต่รับรองฝ่ายค้านไม่มีเปิดเผยข้อมูลแน่นอน ถ้าเช่นนั้นคนที่ได้รับข้อสอบจากสุภรณ์คงต้องชั่งน้ำหนักว่านั่นของจริงหรือมั่วกันแน่
ขณะที่ วิโรจน์ ลักขณาอดิศร โฆษกพรรคก้าวไกล เห็นว่าการจัดกิจกรรมของพรรคร่วมรัฐบาล ไม่น่าจะเกิดประโยชน์ใด ๆ มิหนำซ้ำ ยังดักคอไว้ล่วงหน้าพอกันทีกับการนำเพาเวอร์พอยต์ และรูปรัฐมนตรีมาพีอาร์ตัวเอง เพราะไม่มีประโยชน์ และประชาชนต้องการฟังเนื้อหาที่เป็นเหตุเป็นผล ฝ่ายค้านต้องการถามกรณีที่รัฐมนตรีต้องสงสัยว่าด้อยประสิทธิภาพ หรือพัวพันกับผลประโยชน์อย่างไร อยากให้รัฐมนตรีชี้แจงแบบไม่ใช้แทคติกที่มาไล่เวลาและนำประเด็นการอภิปรายที่สำคัญกับรัฐมนตรีคนสำคัญไปอยู่ช่วงเที่ยงคืน
ส่วนการเชิญวิษณุไปติวเข้ม ก็ไม่รู้เป็นการติวเข้มให้ใช้ข้อยกเว้นอะไรอีกหรือไม่ เพราะเนติบริกรข้างกายผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้ชื่อว่าเป็นบิดาแห่งการยกเว้นของประเทศไทย แต่ยืนยันว่างานนี้โดนหมดทุกคนไม่มีข้อยกเว้นแน่นอน ต่อให้เอาวิษณุมาก็ยกเว้นไม่อภิปรายคนอย่าง พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี ไม่ได้ ดังนั้น ปีนี้ไม่มียกเว้น แต่ประเด็นหลักนี้ต้องอยู่ที่พรรคร่วมฝ่ายค้านบางพรรคด้วยว่า อย่าให้เกิดประวัติศาสตร์ซ้ำรอยการซักฟอกหนก่อนก็แล้วกัน
อย่างไรก็ตาม สิ่งสำคัญที่จะเกิดขึ้นต่อการอภิปรายหนนี้คงเป็นบรรดาองครักษ์ทั้งหลาย โดยเฉพาะการที่มีประเด็นล่อแหลมเรื่องญัตติที่พรรคสืบทอดอำนาจกล่าวหาฝ่ายค้านว่านำสถาบันเข้ามาเกี่ยวข้องกับการอภิปรายไม่ไว้วางใจ โดยที่ยังไม่ได้ฟังเนื้อหาใด ๆ ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการขู่ฟ่อด ๆ มาจาก ไพบูลย์ นิติตะวัน อ้างถึงญัตติด่วนที่ได้ยื่นไปแล้วเรื่องญัตตินี้เพื่อส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ อยู่ที่ว่าฝ่ายค้านซึ่งหมายถึงเพื่อไทยจะหวั่นไหวจนไม่กล้าพูดถึงหรือไม่
ขณะที่พรรคก้าวไกลเชื่อได้ว่าจะอภิปรายตามเนื้อหาที่ตัวเองได้วางกรอบไว้ ยิ่งในเวลานี้มีประเด็นมาตรา 112 ที่พรรคได้ยื่นญัตติเสนอร่างขอให้มีการแก้ไขอยู่ด้วย จึงเหมือนเป็นเวทีฉายภาพว่ามีการนำเอาสถาบันมาแปดเปื้อนทางการเมืองกันอย่างไร หากเปิดใจให้กว้างก็จะเห็นได้ว่า ความพยายามในการที่จะเสนอกฎหมายหรืออภิปรายตรงนี้ ก็เพื่อที่จะให้สถาบันไม่ถูกใช้เป็นเครื่องมือในการทำลายล้างฝ่ายที่เห็นต่างซึ่งเป็นมาทุกยุคทุกสมัย
แน่นอนว่า กรณีนี้เป็นความละเอียดอ่อนซึ่งพรรคก้าวไกลเองก็ยังมีคนที่ไม่ร่วมลงชื่อถึง 9 ราย แต่หนนี้ไม่มีการขับออกจากพรรคเหมือนที่ผ่านมา แต่แสดงความเข้าใจ โดยเป็นความเข้าใจกันตั้งแต่แรกจากกระบวนการประชาธิปไตยภายในพรรค หากเป็นเช่นนั้นจริงนี่ย่อมเป็นจุดแข็งและเป็นความสวยงามของพรรคการเมืองนี้ ไม่ใช่ว่าต้องรอฟังคำสั่งหรือให้ใครมาชี้นิ้วให้ตามอย่างเดียว เหมือนพรรคฝ่ายกุมอำนาจที่บางเรื่องมีการชี้นิ้วข้ามพรรคด้วย เพราะคนเหล่านั้นไม่ได้ยึดสิ่งที่ว่า “เจ้านายของเราคือประชาชน”
การรัฐประหารในเมียนมา สัปดาห์นี้ โจ ไบเดน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาจะใช้มาตรการต่าง ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เหล่าคณะรัฐประหารสามารถเข้าถึงเงินทุนของรัฐบาลเมียนมาที่ถือครองในสหรัฐฯ กว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 30,000 ล้านบาทได้ อีกทั้งจะควบคุมการส่งออกอย่างเข้มงวด โดยจะอายัดทรัพย์สินที่เป็นของสหรัฐฯ และเป็นประโยชน์แก่รัฐบาลเมียนมา ขณะที่การประท้วงภายในก็หนักหน่วงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
ไม่ต้องถามถึงท่าทีจากรัฐบาลไทยฟังคำชี้แจงจาก ดอน ปรมัตถ์วินัย แล้ว เรียกว่าตอบได้ไม่เต็มปากเต็มคำ วลีที่อ้อมแอ้มย่อมสะท้อนให้เห็นจะมีผลอะไรต่อไทยแลนด์ที่แทงกั๊กในสถานการณ์นี้หรือไม่ ส่วนการประท้วงในประเทศไทย ก็น่าเชื่อได้ว่าจะเพิ่มดีกรีความร้อนแรงขึ้นเรื่อย ๆ เช่นเดียวกับแกนนำที่ถูกกระชับวงล้อมขีดวงการเคลื่อนไหวด้วยข้อกฎหมายกันไปทีละคนสองคน