เกมซ่อนหาของเฟดฯพลวัต2015
ไม่เคยมีครั้งใดที่กรรมการธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ แบงก์ หรือ เฟดฯ (Federal Reserve Bank = FED หรือ FED (เฟด) ) ส่งสัญญาณให้ตลาดเงินและตลาดทุนของตนเองและของโลก เท่าการประชุมสัปดาห์นี้มาก่อน และการส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนนี้อาจจะหมายถึงความน่าเชื่อถือในอนาตของเฟดฯไปด้วย
ไม่เคยมีครั้งใดที่กรรมการธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟดเดอรัล รีเสิร์ฟ แบงก์ หรือ เฟดฯ (Federal Reserve Bank = FED หรือ FED (เฟด) ) ส่งสัญญาณให้ตลาดเงินและตลาดทุนของตนเองและของโลก เท่าการประชุมสัปดาห์นี้มาก่อน และการส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนนี้อาจจะหมายถึงความน่าเชื่อถือในอนาตของเฟดฯไปด้วย
คนอเมริกันและทั่วโลกทราบดีว่ารัฐบาลกลางสหรัฐฯนั้นมี 2 แห่งคือทำเนียบขาวมาจากการเลือกตั้ง และที่เฟดฯมาจากการแต่งตั้ง อำนาจเขย่าตลาดและเศรษฐกิจของเฟดฯนั้นมหาศาลอาจจะมากกว่าทำเนียบขาวหลายเท่า
สามปีก่อนเบนจามิน เบอร์นันเก้ หรือ เบน เบอร์นันเก้ ถูกโจมตีจนเสื่อมบารมีรุนแรง ไม่ได้ต่ออายุอีกสมัยในฐานะประธานเฟดฯเพราะส่งสัญญาณว่าจะยกเลิกมาตรการผ่อนคลายทางการเงินหรือ QE จนหุ้นร่วงทั่วโลก แต่แล้วกลับลำไม่เลิก ทำให้ตลาดปรับตัววุ่นวาย
คราวนี้ก็ทำท่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะเจเน็ต เยลเลน พูดมาตั้งแต่ต้นปีแล้วว่าจะขึ้นดอกเบี้ย ตลาดก็ขานรับไปบางส่วน ดัชนีตลาดหุ้นตั้งแต่นิวยอร์กถึงทุกที่ทั่วโลกพากันเป็นขาลงหรือปรับฐานรอข่าวนี้กันหลายเดือน เพื่อรับมือข่าวร้าย ค่าเงินดอลลาร์แข็งล่วงหน้า กองทุนเก็งกำไรถอนตัวจากทั่วโลกกลับไปสหรัฐฯ
หลายเดือนแล้วท่าทีของเฟดฯกลายสภาพจากส่งสัญญาณชัดเจนกลายเป็นไม้หลักปักเลน ไม่น่าเชื่อถือ เพราะเล่นคำพูดไปมาระหว่างเป้าหมายการจ้างงานกับเป้าหมายเงินเฟ้อว่าจะเลือกเอาอย่างไหนเป็นหลักเป็นรอง
ในแวดวงตลาดเงินและตลาดทุนท่าทีของกรรมการเฟดฯมี 2 กลุ่มคือ สายเหยี่ยว เน้นเป้าหมายเงินเฟ้อ พร้อมสนับสนุนขึ้นดอกเบี้ย สายพิราบเน้นเป้าหมายการจ้างงาน ไม่เน้นขึ้นดอกเบี้ย
เจเน็ต เยลเลนได้ชื่อว่าเป็นเทคโนแครตกลุ่มหลัง และไม่เคยปฏิเสธหรือเปลี่ยนท่าที
เพียงแต่ว่าสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป ทำให้เยลเลนถูกบังคับให้เป็นสายเหยี่ยวอย่างช่วยไม่ได้ แต่กลับเป็นสายเหยี่ยวที่โลเลไปซะงั้น
เมื่อต้นปีนี้ ตอนที่ราคาน้ำมันยังร่วงไม่ถึง 50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล เยลเลน ระบุว่า การขึ้นดอกเบี้ยจะดูแค่เงินเฟ้อไม่ได้ เพราะการว่างงานยังมากกว่าเป้าหมาย 5.3% ซึ่งหากไม่ถึงเป้า จะไม่ขึ้นดอกเบี้ย แม้เงินเฟ้อจะใกล้เป้าหมาย 2%
มาถึงตอนนี้ อัตราว่างงานทะลุเกินเป้าไปที่ 5.1% แล้วถ้าตามสูตรของเยลเลน เฟดฯต้องขึ้นดอกเบี้ยนโยบายแน่นอน แต่เป้าเงินเฟ้อกลับสวนทาง เพราะราคาน้ำมันดิบตลาดโลกที่ย่ำแย่ดิ่งลงจุดต่ำสุดในรอบ 6 ปี เพราะล้นเกินความต้องการถึงวันละ 2 ล้านบาร์เรล แถมยังมีแรงกดดันที่ทำให้ราคาต่ำไปอย่างน้อยกลางปีหน้ากันเลยทีเดียว ถึงขั้นที่โกลด์แมน แซคส์ ออกมาคาดเดาว่าราคาน้ำมันดิบมีโอกาสแตะ 20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แม้จะไม่น่าเชื่อ แต่ก็ส่งผลลบต่อตลาดรุนแรง
ผลลัพธ์คือ สายเหยี่ยวในเฟดฯกลายเป็นสายพิราบ (เทียม) เพราะเงินเฟ้อไม่ถึงเป้าอย่างน้อยจนถึงสิ้นปีนี้ จะหาเหตุขึ้นดอกเบี้ยไม่ได้เลย แต่กลับกัน สายพิราบถูกบังคับเป็นสายเหยี่ยว (เทียม) เพราะการว่างงานทะลุเป้าแล้ว แถมหากมองจากงานว่างที่นายจ้างรออยู่มากที่สุดเป็นประวัติการณ์ก็เยอะสุดในรอบ 7 ปี ก็ยิ่งสมควรต้องขึ้นดอกเบี้ย
การปรับเปลี่ยนสถานการณ์ที่ส่งผลต่อจุดยืนว่าจะขึ้นดอกเบี้ยหรือไม่ ทำให้คนของเฟดฯออกมาส่งสัญญาณที่ขาดเอกภาพกัน ไม่มีฉันทามติที่จะทำให้ตลาดคาดเดาทิศทางในอนาคตอันสั้นได้ ตลาดก็เลยมีอาการเป๋ไปมาระหว่างท่าทีจะเอาอย่างไรกับสายเหยี่ยวหรือสายพิราบของเฟดฯ
ความกลัวหรือปริวิตกของตลาดหุ้นและตลาดบอนด์ยามนี้ทั่วโลกที่สะท้อนขวัญที่อ่อนยวบของนักลงทุนทั้งสถาบันและรายย่อย จนดัชนีความแปรปรวนเหวี่ยงแรงน่ากลัวเข้าใกล้ระดับความบ้าคลั่ง จึงไม่ได้กลัวเรื่องขึ้นดอกเบี้ยของเฟดฯหรือไม่ แต่กลัวความไม่แน่นอนจากความโลเลของเฟดฯเอง
อัตราดอกเบี้ยที่ระดับปัจจุบันของเฟดฯที่ไม่ได้ขึ้นมา 9 ปีแล้ว อยู่ที่ระดับติดพื้น 0.25% ต่อปีเท่านั้นหากจะขึ้นก็คงขึ้นไปที่ 0.50% ซึ่งว่าไปแล้วไม่ได้มากมายอะไร แต่ธุรกิจสหรัฐฯที่คุ้นเคยมาตรการดอกเบี้ยต่ำผสม QE ที่เฟดฯพิมพ์ธนบัตรให้มานาน 5 ปีกลับบ่นว่าต้นทุนการเงินจะเพิ่มขึ้นเกือบ 50% ซึ่งเป็นข้ออ้างที่เหนือจริงเกินจะเชื่อได้ แต่ก็มีคนเสแสร้งดันทุรังเชื่ออยู่เยอะส่งผลให้ตลาดหุ้นวูบวาบน่าเสียวไส้
6 ปีที่ผ่านมาดัชนีของตลาดหุ้นนิวยอร์กวิ่งเป็นขาขึ้นมายาวนานโดยตลอดอาจจะมีปรับฐานหรือพักฐานบ้างระหว่างทาง ทำนิวไฮครั้งแล้วครั้งเล่า แต่เป็นตลาดหุ้นขาขึ้นในห้วงยามที่เศรษฐกิจสหรัฐฯเลวร้ายอย่างรุนแรงในช่วงหลังวิกฤตซัพไพรม์ที่ต้องพึ่งพามาตรการ QE นาน 6 ปี ถือเป็นขาขึ้นเทียม ความรู้สึกอกสั่นขวัญแขวนของนักลงทุนในตลาดเก็งกำไร เมื่อใกล้จะมีการขึ้นดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 9 ปีของเฟดฯ ประหนึ่งสาวพรหมจารีจะแรกเสียตัวให้เจ้าบ่าวที่พ่อแม่เลือกให้ จึงเป็นอาการที่เกินจริง
ข้อเท็จจริงคือนักลงทุนอาจจะความจำเสื่อมถึงขั้นลืมไปแล้วว่า พรหมจารีที่ว่านั้นได้ฉีกขาดไปไม่เหลือหรอนานมาแล้ว
ความไม่แน่นอนนั้นน่ากลัวกว่าความเสี่ยง เรื่องนี้แฟรงค์ ไนท์เคยพิสูจน์มานานหลายศตวรรษจนเป็นทฤษฎีเศรษฐศาสตร์พฤติกรรมที่ยอมรับกันมาแล้ว ความผันผวนชนิดสุดขั้วแบบสลับฟันปลาในสัปดาห์ที่ผ่านมาของตลาดปริวรรตเงินตราตลาดหุ้นตลาดตราสารหนี้และตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ จนนักลงทุนทั่วโลกจำนวนมากเลือกที่จะถอยห่างเป็นคนดูข้างตลาด เกิดเพราะการส่งสัญญาณที่ไม่ชัดเจนของเฟดฯอย่างเลี่ยงไม่พ้น
ความไม่ชัดเจนดังกล่าวอาจจะมีข้ออ้างว่าเป็นการโต้แย้งทางความคิดตามหลักเกณฑ์อันศักดิ์สิทธิ์ของ “ประชาธิปไตยแบบปรึกษาหารือ” (deliberative democracy) เพื่อที่จะหาฉันทามติให้ได้ลงตัวในวันที่ 17 กันยายนนี้ หรือถ้ายังหาไม่ได้ก็อาจจะเลื่อนไปเดือนตุลาม.ค.หรือเดือนธันวาคมเป็นของขวัญส่งท้ายปีเก่ากันไปเลย แต่ข้ออ้างดังกล่าวทำให้มีคำถามตามมาว่าทำไมไม่สร้างวาทะกรรมกันในห้องแคบๆ แต่ดันมาให้ความเห็นโต้กันผ่านสื่อแบบ “ตะโกนเสียงดัง” ทั้งที่ไร้ข้อยุติ
ผลลัพธ์ทางตรงและข้างเคียงของความไม่ชัดเจนและไร้เอกภาพ ไม่ได้อยู่ที่ความแปรปรวนสุดฤทธิ์ของตลาดเก็งกำไรทุกชนิดที่ชวนสยอง หากยังทำให้การตีความของตลาดต่อสถานการณ์ผิดประหลาดเหลือเชื่อ เหมือนเกมเล่นซ่อนหาทีเดียว เพราะข่าวดีเช่น การจ้างงานเพิ่ม อัตราเติบโตจีดีพี หรือดุลบัญชีเดินสะพัด กลายเป็นตัวการทำให้เกิดแรงเทขายในตลาดทำหุ้นติดลบ ในขณะที่ข่าวร้ายอย่างความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ลดลง หรือ ยอดขายห้างค้าปลีกหรือส่งออกลด หรือ เงินเฟ้อที่หดตัวลง หรือค่าดอลลาร์ตกต่ำ กลายเป็นข่าวที่ทำให้แรงซื้อดันหุ้นบวกขึ้น
ข่าวดีและข่าวร้ายที่ทำให้เกิดการตีความตรงกันข้าม จากเกมเล่นซ่อนหาของเฟดฯยามนี้ เป็นสถานการณ์และจิตวิทยาของตลาดที่เบี่ยงเบนจากระดับปกติ
มองในอีกมุมหนึ่งความไม่ลงรอยของกรรมการสายเหยี่ยว (เทียม) และสายพิราบคือบททดสอบบารมีของเจเน็ต เยลเลนโดยตรงว่าจะยืนยันความสามารถในการส่งสัญญาณต่อตลาดเงินและตลาดทุนได้ดีเพียงใดท่ามกลางการแปรปรวนของเศรษฐกิจสหรัฐฯที่เป็นไม่กี่ชาติที่เศรษฐกิจแข็งแกร่งในห้วงยามที่เศรษฐกิจทั่วโลกกำลังปั่นป่วนเพราะปัญหาเชิงโครงสร้างภายในและถูกแรงเหวี่ยงของการชะลอตัวทั่วโลกกดดัน แล้วยังต้องมารับมือกับแรงเหวี่ยงของค่าดอลลาร์ที่แข็งตามสัญญาณก่อนหน้านี้ของเฟดฯในเรื่องอัตราดอกเบี้ย
ไม่ว่าการส่งสัญญาณของเฟดฯจะเกิดจากสาเหตุใด แต่ผลลัพธ์ที่ทำให้แรงเหวี่ยงตลาดผันผวนรุนแรงที่กำลังเกิดขึ้น สะท้อนอิทธิพลที่ล้นเกินของเฟดฯมหาศาลในโลกปัจจุบันที่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่คำถามที่นักลงทุนอยากรู้มากที่สุดยามนี้ ยังคงวนเวียนย่นย่อแค่ว่าแล้วหลังจากความชัดเจนเกิดขึ้นวันที่ 17 กันยายนผ่านไปแล้ว ตลาดหุ้นจะเป็นขาขึ้นหรือขาลง
ตอบแบบกำปั้นทุบดินตอนนี้คือไม่ทราบ แต่ตอบแบบมองโลกเชิงบวก (ลมๆ แล้งๆ) คือขึ้นแน่นอนเพราะความชัดเจนเกิดขึ้นแล้วว่าสายไหนในเฟดฯกำชัยชนะ