Fund Flow ไหลเข้า
เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 2,789 ล้านบาท
ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร
เมื่อวานนี้ (10 มี.ค.) นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยกว่า 2,789 ล้านบาท
แน่นอนว่า พวกเขาจะโฟกัสไปยังหุ้นขนาดใหญ่ หรือกลุ่ม SET50
หุ้น 5 อันดับแรกที่มีมูลค่าซื้อขายสูงสุดวานนี้ นำโดย บิ๊กแคป CPALL OR PTT KBANK และ AOT
ทั้งหมดนี้คือหุ้นขวัญใจของนักลงทุนต่างชาติ และนักลงทุนสถาบัน เช่น กองทุน เพราะราคาที่ดีดขึ้นมา แล้วบวก 2-3% มีแต่กลุ่มที่มีเงินหน้าตักหนา ๆ เท่านั้นที่จะดันราคาได้
คำถามคือว่า Fund Flow หรือเม็ดเงินต่างชาติจะเข้ามาต่อเนื่องหรือไม่
เชื่อว่าคำถามนี้หลายคนสนใจ
หากย้อนกลับไปดูพื้นฐานของตลาดหุ้นไทย
P/E Ratio ปัจจุบันที่ระดับ 40-41 เท่า หากมองจากตัวเลขนี้ถือว่าค่อนข้างสูง
แต่ P/E ขึ้นมาสูงที่ว่านี้ ได้รวมงบการเงินของ “การบินไทย” หรือ THAI ที่ขาดทุนปี 2563 จำนวน 12.4 แสนล้านบาทเข้ามาด้วย
ทำให้ค่าระดับ P/E จึงเพี้ยน หรืออาจจะไม่ได้สะท้อนความเป็นจริงของตลาดหุ้นมากนัก
หุ้นขนาดใหญ่ เช่น CRC (มาร์เก็ตแคป ณ ราคาปิดวานนี้ 2.29 แสนล้านบาท) P/E ได้กระโดดสูงเช่นกัน หรือ 4,952 เท่า
นี่ก็ทำให้ P/E ภาพรวมของตลาดดูสูงขึ้นด้วย
หันมาดูบทวิเคราะห์ของบริษัทหลักทรัพย์ต่าง ๆ
ทั้งหมดต่างมีมุมมองเหมือนกันว่า ตลาดหุ้นไทยยังถือว่ามี “รูม” ให้เล่น หรือเข้าลงทุน
เหตุผลคือ ปีนี้ กำไรของบริษัทจดทะเบียน (บจ.) น่าจะเติบโต 35-40% จากปี 2563 และจะทำให้ P/E (ที่แท้จริง) ค่อย ๆ ปรับลดลงได้ในสิ้นปี 2564 หลัง บจ.ต่างรายงานงบการเงิน
ล่าสุด สภาธุรกิจตลาดทุนไทย หรือ FETCO เผยผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนประจำเดือน มี.ค. 2564
พบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นนักลงทุนในอีก 3 เดือนข้างหน้าอยู่ที่ระดับ 152.19 จุด
ปรับตัวเพิ่มขึ้น 14.8% จากเดือนก่อนที่อยู่ระดับ 132.55 จุด
ตัวเลขนี้ จัดอยู่ในเกณฑ์ “ร้อนแรง” ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 3
ปัจจัยหนุนความเชื่อมั่นนักลงทุนคือ ความคาดหวังการคลี่คลายสถานการณ์โควิด-19 จากการที่ไทยได้รับวัคซีนล็อตแรกเป็นปัจจัยหนุนมากสุด
กลุ่มหุ้นที่นักลงทุนสนใจลงทุนมากสุด คือ การท่องเที่ยว ธนาคาร พลังงาน และสาธารณูปโภค
กลุ่มที่ไม่น่าสนใจลงทุนมากสุด คือ กลุ่มเหล็ก กลุ่มแฟชั่น และกลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
มาถึงข้อมูลสำคัญ คือ แนวโน้มของกระแสเงินทุนต่างชาติ (ฟันด์โฟลว์)
มีการคาดว่ามีโอกาสไหลกลับเข้ามาเป็น “บวก” ในตลาดหุ้นไทยช่วงกลางปีนี้
สาเหตุจากปัจจัยหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังต่อเนื่องไปจนถึงปี 2565 และภาวะการท่องเที่ยวที่คาดว่าจะทยอยกลับมา หลังจากเริ่มมีการฉีดวัคซีนในประเทศ
รวมถึง “สภาพคล่อง” ทั้งในประเทศและต่างประเทศที่ยังมีอยู่จำนวนมาก
มาถึง “เป้าหมายหุ้น” ที่ต่างชาติสนใจ
พบว่า จะกระจุกอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่ 20 อันดับแรก (SET50)
และส่วนใหญ่อยู่ในกลุ่มแบงก์ พลังงาน และเริ่มมีเข้ามาซื้อหุ้นสนามบิน (AOT) และการท่องเที่ยว
ส่วนประเด็นแรงกดดันจากทิศทางบอนด์ยีลด์ของสหรัฐฯ ปรับตัวเพิ่มขึ้น
ประเด็นนี้ คาดว่าจะไม่ส่งผลกระทบต่อทิศทางฟันด์โฟลว์ต่างชาติให้ไหลออกไปเหมือนกับช่วงปี 2556 กว่า 2 แสนล้านบาท เพราะเงินต่างชาติไหลออกจากตลาดหุ้นไทยไปมากแล้ว
และภาวะเศรษฐกิจในประเทศตลาดเกิดใหม่ในภูมิภาคก็ยังดีกว่ารอบที่แล้วมาก
ย้อนกลับมาดูตัวเลขการซื้อขายในตลาดหุ้นไทยของนักลงทุนต่างชาติ
แม้วานนี้จะซื้อสุทธิ 2,789 ล้านบาท
แต่หากนับจากต้นปีมาถึงวานนี้ ต่างชาติยังขายสุทธิกว่า 20,914 ล้านบาท
หากวันนี้ พรุ่งนี้ ต่างชาติยังซื้อสุทธิ โดยทยอยซื้อหุ้นบิ๊กแคปต่อเนื่องไปอีก และลากยาวไปจนถึงสัปดาห์หน้า (อาจมีบางวันสลับขายบ้าง)
ก็น่าจะพอมั่นใจได้ว่า ต่างชาติน่าจะเริ่มกลับเข้าตลาดหุ้นไทยจริง ๆ จัง ๆ อีกครั้ง
หุ้นในกลุ่ม SET50 รวมถึง SET100 ที่ราคายังแลกการ์ด น่าจะโลดแล่นได้ดี
ส่วนหุ้นกลาง และเล็ก อาจจะดูเงียบเหงาไปบ้าง