เคาะ 24 บจ.เด็ด ทยอยขายจังหวะรีบาวด์SET Sideway รอความชัดเจนเฟดขึ้นดบ.

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทย Sideway ในกรอบ 1,360-1,400 จุด เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ หากตลาดมีการรีบาวด์แนะนำทยอยขายทำกำไร


ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์รายงาน เช้านี้ ณ เวลา 9.20 น. ค่าเงินบาทอยู่ที่ 36.02 บาทต่อเหรียญ ด้านตลาดหุ้นเอเชียปรับตัวเพิ่มขึ้น ขณะที่นักลงทุนจับตาดูผลการประชุมของธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) ในวันนี้ รวมถึงผลการประชุมของธนาคารกลางสหรัฐ (FED) ในเช้าวันศุกร์ตามเวลาไทย

นักวิเคราะห์มองดัชนีหุ้นไทย Sideway ในกรอบ 1,360-1,400 จุด เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ หากตลาดมีการรีบาวด์แนะนำทยอยขายทำกำไร หุ้นเด่นเลือก CK-STEC-SEAFCO-SCC-KTB-CPALL-KTC-TMB-INTUCH-TRUE-EA-KCE-SAMART-DEMCO-KSL-KBANK-TCAP-THCOM-IVL-AMATA-BDMS-PLANB-ITD และ SIAM

 

บล.ธนชาต ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) ว่า SET มีแนวโน้ม “ผันผวน” ก่อนการประชุม Fed วันที่ 16-17 ก.ย.นี้ แต่มอง Downside ไม่มากที่ 1,360 จุด เนื่องจากนักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่มอง Fed ยังไม่ขึ้นดอกเบี้ย และน่าจะทำให้ค่าเงินดอลลาร์ฯอ่อนค่าลงเป็นปัจจัยหนุนการฟื้นตัวตลาดหุ้นโลก และราคาสินค้าโภคภัณฑ์

แนะนำ “ซื้อ” ที่บริเวณแนวรับ 1,360-1,370 จุด โดยคาดหวังการปรับสูงขึ้นรอบถัดไปที่ 1,408-1,420 จุด โดยเน้นการเข้าซื้ในกลุ่มหุ้นดังนี้

1) Infrastructure: “ซื้อ” CK STEC SEAFCO SCC และ KTB

2) Consumption: “ซื้อ” CPALL KTC และ TMB (ได้รับผลดีจากมาตรการกระตุ้น SMEs ผ่านการปล่อยกู้ผ่าน บสย.มากที่สุด)

3) Telecom: “ซื้อ” INTUCH DIF (มีโอกาสสรุปให้ DTAC เช่าเสาโทรคมนาคมเพิ่ม เป็น Upside ต่อปันผลในอนาคต พร้อมรับปันผลเดือน พ.ย.อีก 1.8%) และ “เก็งกำไร” TRUE

แนะนำ CPALL CK EA INTUCH KCE KTC SAMART SEAFCO STEC และ TMB ต่อเนื่อง

DEMCO: “ซื้อ” พื้นฐาน 15 บาท หลังราคาปรับลดลงแรง 23% จากต้นปี ขณะที่เป็นผู้ได้รับประโยชน์จากการขยายสายส่งของ กฟผ.และการนำสายไฟฟ้าลงดินของ กฟน. มูลค่ารวม 265bn

KSL: “ซื้อ” พื้นฐาน 5.25 บาท รายงานกำไรไตรมาส 3/15 ที่ 228 ล้านบาท ลดลง 73% จากไตรมาสเดียวดันในปีก่อน และลดลง 51% จากไตรมาสก่อน ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ไว้

 

บล.ซีไอเอ็มบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) ว่าตลาดในสัปดาห์นี้คาดจะผันผวนน้อยลง แต่ก็ยังขึ้นเหนือ 1,400 จุดได้ยาก เพราะขาดปัจจัยหนุนในระดับภายประเทศที่จะหนุนให้ดัชนีไปต่อ หากจะมีรอลุ้นผลดำเนินงานไตรมาส 3/15 และการทำปิดงบรายไตรมาส

ส่วนต่างประเทศรอลุ้นท่าทีของรัฐบาลจีนและราคาน้ำมัน โดยราคาน้ำมันยังมองว่าแม้จะถูกปรับลดราคาเป้าหมายลง แต่ส่วนใหญ่ยังอยู่ในกรอบ 45-50 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล การเหวี่ยงลงลึกๆ แม้มีโอกาสเกิดขึ้นได้ แต่ไม่น่าจะอยู่ในช่วงนี้ ซึ่งเป็นช่วงฤดูกาลของน้ำมัน จากข้อมูลที่ผ่านมาราคาน้ำมันมักจะสร้างจุดต่ำสุดประมาณเดือน ม.ค.

สำหรับการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ของธนาคารแห่งประเทศไทยในวันพรุ่งนี้ เราคาดว่าจะมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.50% สอดคล้องกับที่ตลาดคาด เนื่องจากปัจจุบันอัตราดอกเบี้ยก็อยู่ในระดับที่ต่ำ แต่ธนาคารยังเข้มงวดกับการปล่อยกู้มากเพราะภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ดีและหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง รวมไปถึงขณะนี้รัฐบาลก็ได้ใช้นโยบายทางการคลังมาช่วยผลักดันเศรษฐกิจเพิ่มเติม ดังนั้นการลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกก็คงไม่ช่วยอะไรมาก

แต่กลับกันหากกนง. มีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงและเฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ค่าเงินบาทจะอ่อนค่าลงทันทีและส่งผลให้มีเงินไหลออกจากตลาดตราสารหนี้และตลาดหุ้น วันนี้หากตลาดมีการรีบาวน์แนะนำ ทยอยขายทำกำไร โดยให้แนวรับไว้ที่ 1365-1370 และแนวต้านที่ 1385-1390 จุด

Themes play: แนะนำซื้อ THCOM โดยมีราคาเป้าหมาย 45 บาท

 

บล.เคทีบี (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) ว่า ภาวะตลาดหุ้นวันนี้ น่าจะทรงๆ ตัวแกว่งในกรอบแคบๆ เช่นเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยปัจจัยหนุนในเรื่องมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ การลงทุนและการใช้จ่ายภาครัฐ ยังเป็นผลบวกต่อตลาดหุ้นอยู่บ้าง การคาดการณ์ในเรื่องแผนกระตุ้นเศรษฐกิจของจีนและญี่ปุ่น (ธนาคารกลางญี่ปุ่นจะแถลงผลประชุมวันนี้) จะทำให้ มีแรงซื้อเก็งกำไรเข้ามาในตลาด ซึ่งจะทำให้ดัชนีฯ มีโอกาสที่จะปิดในแดนบวก

กลยุทธ์การลงทุนมองว่า ผลประชุม FOMC กำลังมีน้ำหนักไปในทางที่คงดอกเบี้ยไว้ที่ 0-0.25% มากกว่า แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ คาดว่าจะรอคอยมากกว่าที่จะเสี่ยง หุ้นอิงดอกเบี้ย (ธนาคาร-ที่อยู่อาศัย) น่าจะเงียบเหงา แต่กลุ่มที่มีข่าวบวกเสริมอยู่ จะมีความคึกคักมากกว่า

หุ้นกลุ่มที่คาดว่านักลงทุนจะให้ความสนใจในวันนี้ ในลักษณะของการเก็งกำไรช่วงสั้น อาทิ IVL, AMATA, BDMS และ PLANB

 

บล.แอพเพิล เวลธ์ ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) ว่า นักลงทุนยังชะลอการลงทุนเพื่อรอผลการประชุม FOMC กลางสัปดาห์นี้ ซึ่งหาก Fed ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย น่าจะเป็นปัจจัยลบในระยะกลางเนื่องจากนักลงทุนต่างชาติยังขาดแรงจูงใจในการเข้าซื้อหุ้นในตลาดเกิดใหม่

ขณะที่วานนี้นายกฯ ได้เริ่มปล่อยเงินกู้โครงการกองทุนหมู่บ้าน, ส่วนโครงการรถไฟทางคู่สายจิระ-ขอนแก่นจะเริ่มขายซอง 30 ก.ย. นี้ และคาดจะได้ยุติปัญหาประมูล 4 G คลื่น 900 MHz ได้ในวัน 18 ก.ย. นี้

กลยุทธ์การลงทุน ประเมินดัชนียัง Sideway ในกรอบ 1,360-1,400 จุด เพื่อรอความชัดเจนของทิศทางอัตราดอกเบี้ยสหรัฐ

 

บล.เอเซีย พลัส ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) ว่า แผนกระตุ้นเศรษฐกิจมีความชัดเจนมากขึ้น พร้อม เน้นลงทุนระยะยาว โดยเพิ่มระยะเวลาส่งเสริมการลงทุน (BOI) เชื่อว่าน่าจะประคองดัชนี ท่ามกลางความกังวลในจีน ยังเน้นหุ้น Domestic Play (CK, KBANK และ TCAP) วันนี้เลือก Top pick คือ CK ([email protected])

 

บล.กรุงศรี ระบุในบทวิเคราะห์ (15 ก.ย.) คาดการณ์มุมมองทางเทคนิค SET เมื่อวันก่อนย่อตัวลงเข้ามาใกล้เส้นค่าเฉลี่ย MA25 (อยู่ที่ 1,375) ซึ่งสามารถทรงตัวได้เป็นวันที่สี่  ขณะที่ MACD อยู่ที่ -0.98 และเหนือ signal line ดังนั้นภาพระยะสั้นยังแสดงภาพขาขึ้น ถึงแม้รูป candlesticks ที่เกิดขึ้นล่าสุดจะอ่อนแอในทางขึ้นเล็กน้อย แต่รูปแบบการเคลื่อนไหวทำให้ภาพขาขึ้นยังไม่เสียหายและยังมีโอกาสทดสอบ 1,400-1,420 จุดได้อีก

แนวโน้มของตลาดจะเคลื่อนไหวที่กรอบ 1,370-1,400 หุ้นที่เลือกวันนี้มีโอกาสปรับขึ้น แนะนำซื้อเก็งกำไรที่กรอบ ITD และ SIAM

 

บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย) แนะนำกลยุทธ์การลงทุน ไม่ต่ำกว่าระดับ 1,360 จุด เก็งกำไรได้

Back to top button