SVI รุกหนักชิ้นส่วนอุตฯ 5G คาดสร้างรายได้ปีนี้ 1.5 พันลบ.
SVI รุกชิ้นส่วนอุตสาหกรรม 5G คาดสร้างรายได้ปีนี้ 1.5 พันลบ. เล็งทุ่ม 100 ลบ. เพิ่มศักยภาพการผลิต-ซื้อบริษัทวิจัย-พัฒนา
นายสมชาย สิริปัญญานนท์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท เอสวีไอ จำกัด (มหาชน) หรือ SVI เปิดเผยว่า มองเห็นโอกาสขยายตลาดชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารระบบ 5G ที่มีอัตราการเติบโตต่อเนื่อง จากเม็ดเงินการลงทุนด้านโครงสร้างพื้นฐานเทคโนโลยีด้านการสื่อสารที่ช่วยขับเคลื่อนการเติบโตให้แก่อุตสาหกรรมต่างๆ ในอนาคตที่ได้ประโยชน์จากการสื่อสารไร้สาย เช่น อุตสาหกรรมรถยนต์ไฟฟ้าไร้คนขับ, อุตสาหกรรมการแพทย์ที่ใช้ AI วินิจฉัยโรคและรักษาคนไข้, อุตสาหกรรมออโตเมชั่นในภาคการผลิต เป็นต้น
ทั้งนี้ ในเบื้องต้น SVI จะใช้เงินลงทุน 100 ล้านบาท เพิ่มศักยภาพและขีดความสามารถการผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุปกรณ์รับส่งข้อมูลความเร็วสูงได้ถึง 100-200 กิกะบิตต่อวินาทีที่ใช้ในอุตสาหกรรม 5G เช่น Optical transceiver หรืออุปกรณ์ตัวรับส่งสัญญาณความเร็วสูง อุปกรณ์สร้างแสงเลเซอร์ในไฟเบอร์ออฟติกและชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้กับระบบคลาวด์ของ Data Center ล้วนเป็นอุปกรณ์สำคัญต่อการรองรับปริมาณการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงจำนวนมากทั้งสิ้น
นอกจากนี้ บริษัทมีแผนก้าวสู่ผู้พัฒนาอุปกรณ์ชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในอุตสาหกรรมเทคโนโลยีการสื่อสารยุค 5G โดยต้องการเข้าลงทุนในบริษัทวิจัยและออกแบบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์เพื่อพัฒนาผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับอุปกรณ์ 5G ภายใต้แบรนด์ของบริษัทฯ ช่วยเพิ่มอัตรากำไรต่อหน่วยที่ดีขึ้นเป็นเลข 2 หลัก จากปัจจุบันที่เป็นผู้รับจ้างผลิต (OEM) ภายใต้แบรนด์ของลูกค้าเพื่อจำหน่ายยังตลาดสหรัฐอเมริกาและจีน
“เราจะก้าวเป็นหนึ่งในผู้นำผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มอุปกรณ์รับส่งข้อมูลความเร็วสูง 100-200 กิกะบิตต่อวินาทีในอุตสาหกรรม 5G ซึ่งถือเป็นโครงสร้างพื้นฐานให้แก่ทุกอุตสาหกรรมในโลกอนาคตเพื่อก้าวสู่การเป็นสังคม IOT ที่จะมีปริมาณการรับส่งข้อมูลความเร็วสูงจำนวนมากผ่านเครือข่าย 5G จากการเชื่อมโยงระหว่างอุปกรณ์และอุปกรณ์ ซึ่งจะทำให้ความต้องการชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ในกลุ่มดังกล่าวเพิ่มขึ้นตามการเติบโตของเม็ดเงินลงทุนที่เติบโตแบบก้าวกระโดด
โดยเรามีเป้าหมายการเติบโตของรายได้จากกลุ่มอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์สำหรับอุตสาหกรรม 5G เฉลี่ยไม่ต่ำกว่า 10% ต่อปี จากปีนี้คาดว่าจะมีรายได้กลุ่มนี้ประมาณ 50 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือคิดเป็น 1,500 ล้านบาท” นายสมชาย กล่าว