โกหกแบบเนียนและไม่เนียน

ไม่ธรรมดาเลยนะครับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเดี๋ยวนี้ “โนสน-โนแคร์” ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับตัวบทกฎหมายและความชอบธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น


ขี่พายุทะลุฟ้า : ชาญชัย สงวนวงศ์

ไม่ธรรมดาเลยนะครับ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาเดี๋ยวนี้ “โนสน-โนแคร์” ไม่ประหวั่นพรั่นพรึงกับตัวบทกฎหมายและความชอบธรรมใด ๆ ทั้งสิ้น คิดอะไรก็พูดออกมาอย่างนั้น

เนียนบ้าง ไม่เนียนบ้าง กระทั่งโกหกโป๊ะแตก ถูกจับโกหกได้ในเวลาไม่กี่วัน

เรื่องแรก ขอบอกว่าเนียนดีครับ ดูเหมือนว่านายกฯ ไม่ได้โกหก แต่ออกจะแสดงความใจกว้าง ใจนักเลงให้เห็นด้วยซ้ำ เพียงแต่พูดความจริงไม่หมด และออกแนว “ลำพอง” อย่างโจ่งแจ้งไปสักหน่อย

เรื่องนั้นก็คือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่ถูกคว่ำฝังดินไปเรียบร้อยแล้ว โดยเส้นทางที่ผ่านมา มีแต่การต้มยำทำแกงกันมาตลอดทาง ตั้งแต่ก่อนวาระที่ 1 ก็เตะถ่วงให้ไปตั้งคณะกรรมาธิการศึกษา ผ่านมาถึงวาระ 2 ได้ ก็รวมหัวกันส่งศาลรัฐธรรมนูญตีความ

ตีความกำกวมกันออกมาอย่างนั้น ก็วงแตก! เสียงสนับสนุนไม่พอ ญัตติร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญก็ถูกตีตกไปในวาระ 3 แถมยังมี “ลิ่วล้อการเมือง” ไปฟ้องศาลรัฐธรรมนูญให้เพิกถอนสมาชิกภาพส.ส.-ส.ว.ที่ลงมติเห็นชอบการแก้ไขเสียอีก

พล.อ.ประยุทธ์ให้สัมภาษณ์เมื่อวันจันทร์ที่ผ่านมา หลังเหตุการณ์ชุมนุมอันดุเดือดของกลุ่มเยาวชนว่า “ถ้าระแวงว่าผมจะสืบทอดอำนาจ ก็ไปแก้มา จะเลือกหรือไม่เลือกผม ก็ไม่ขัดข้อง ก็ไปแก้มา แก้ให้ได้ก็แล้วกัน

นี่ไง! ผมถึงบอกแต่ต้นไงว่า มันเนียนดี ออกแนวเปิดเผย ใจกว้าง ใจนักเลงดี “ไปแก้มาเลย จะเลือกผม หรือไม่เลือกผมก็ไม่ขัดข้อง”

แต่ก็นั่นแหละ ทุกคนก็รู้ เด็กยังรู้เลยว่า รัฐธรรมนูญปี 60 ฉบับนี้ “แก้ยากระดับโค-ตะ-ระ” ต้องรื้อถอนสายสิญจน์กันภูติผีปีศาจเป็นร้อยชั้นเลยทีเดียว

อย่าว่าแต่ ต้องใช้เสียงมากกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรวม 2 สภา 750 คนเลย ในจำนวนนี้ ยังต้องให้ส.ว. 1 ใน 3 ของ 250 คน ให้ความเห็นชอบอีก

มันง่ายนักหรือ จะให้คนยกมือเชียร์ให้ตัดรอนอำนาจตัวเอง ถ้า “บิ๊ก 3 ป.” ไม่สั่ง

คำว่า “แก้ให้ได้ก็แล้วกัน” มันคืออย่างนี้หรือเปล่าครับ ที่จับคู่ต่อสู้มัดมือมัดเท้ามายืนตรงหน้า แล้วท้าทายใส่หน้าว่า “เอาเลย มึงเลือกต่อยกูตามสบายเลย ไม่ว่ากัน” ก็แล้ว คนถูกมัด มันจะต่อยหน้าท่านผู้นำได้ไหมเล่า!

เรื่องนี้  โกหกได้เนียนดี แต่ออกจะ “ลำพอง” จนเกินงามมากไปสักหน่อย

แต่เรื่องนี้ “โกหกไม่เนียน” เอาเสียเลย นั่นก็คือ เรื่องข้าวสาร 700 กระสอบ นำไปกองทิ้งไว้ริมฝั่งแม่น้ำสาละวิน บริเวณแม่สามแลบ จ.แม่ฮ่องสอน

การระบุพิกัดทิ้งข้าวสารทั้งจากสื่อและพล.อ.ประยุทธ์ รมว.กลาโหม ยังสับสนกันอยู่ระหว่างริมฝั่งสบเมย จ.ตากกับแม่สามแลบ จ.แม่ฮ่องสอน คนละจังหวัดกันเลย แต่ผมว่าน่าจะเป็นแม่สามแลบมากกว่า

คนที่ไม่เคยผ่านเส้นทางนี้ คงไม่รู้หรอกว่า แม่น้ำสาละวินน่ะ ผ่านประเทศไทยบริเวณแม่สามแลบ แล้ววกเข้าดินแดนภายในพม่าเข้าไปเลย แม่น้ำเมยเป็นแม่น้ำสาขาต่อจากสาละวิน ไหลลงใต้จนมาผ่านอ.แม่สอด ซึ่งฝั่งตรงข้ามก็คือเมืองเมียวดี

ฉะนั้นเมื่อเอ่ยถึงพิกัดทิ้งของริมฝั่งสาละวิน ก็ต้องหมายถึงพื้นที่แม่สามแลบเท่านั้น ไม่มีทางเป็นสบเมย ที่ขนาดคนเป็นรมว.กลาโหม ยังพูดผิด ๆ ถูก ๆ ได้

เรื่องนี้เป็นเรื่องคอขาดบาดตายถึงขั้นชักศึกเข้าบ้าน และประเทศชาติจะขายขี้หน้าจากการสนับสนุนรัฐเผด็จการทหารพม่าเชียวนะ

ทหารพม่าต้องใช้ถนนไทย ก็เพราะกองกำลังติดอาวุธกะเหรี่ยง KNU ซึ่งเป็นเจ้าของพื้นที่ในรัฐกะเหรี่ยงอยู่ ประกาศไม่สนับสนุนรัฐบาลทหารพม่าที่มาจากการทำรัฐประหาร และจะใช้กำลังสกัดเส้นทางส่งเสบียง

เรื่องการส่งเสบียงและข้าวสาร จะเริ่มต้นจากเมียวดีข้ามมา หรือเริ่มต้นที่แม่สอด ไม่ใช่ประเด็น แต่สาระสำคัญที่สุดก็คือ การจะทำเช่นนั้นได้ มันต้องได้รับความเห็นชอบและได้รับการคุ้มครองจากฝ่ายความมั่นคง ซึ่งก็คือทหารไทย

ตอนแรก ผบ.พื้นที่กับแม่ทัพภาค ก็แสดงพิรุธ ชี้แจงไปคนละทาง เอาล่ะสิ! ข้อหาช่วยเหลือเผด็จการทหารพม่าที่เข่นฆ่าประชาชน และการช่วยเหลือรัฐบาลที่ไม่มีประเทศใดรับรองนั้นรออยู่

พอมาถึงบทชี้แจงของนายกฯ ตู่ก็จบข่าวเลย โดยนายกฯ บอกว่า เป็นเรื่องพ่อค้าไทย ขายข้าวให้ทหารพม่า ซึ่งเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในท้องถิ่น ทหารไทยไม่มีส่วนเกี่ยวข้องให้การช่วยเหลือด้วย

คำพูดนายกฯ มันก็ขัดกับข้อเท็จจริงสิครับ เพราะ 1.ด่านแม่สามแลบเป็นจุดผ่อนปรนชั่วคราว ซึ่งถูกสั่งปิดตายมาตั้งแต่เดือน ก.ย.ปีที่แล้ว ข้าวริมฝั่งไทยจะขนข้ามสาละวินไปพม่าได้อย่างไร และ 2.มันก็น่าแปลกว่า ถ้าอ้างว่าซื้อขายผ่านพ่อค้า ทำไมถึงไม่มีการส่งมอบและรับมอบ

ปล่อยกองกระสอบข้าวโด่เด่ริมสาละวินเสียหลายวัน จนบัดนี้ไม่รู้ขนกลับไปทางไหนหรือยัง

เรื่องนี้ โกหกไม่เนียนครับ นายกฯ ประยุทธ์ พาลจะชักศึกเข้าบ้าน และขายหน้าประชาคมโลกเอา

Back to top button