กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% หลังเศรษฐกิจชะลอตัว
กนง.มีมติเป็นเอกฉันท์คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 1.5% มองเศรษฐกิจยังชะลอ อีกทั้งคาดว่าปีนี้เศรษฐกิจไทยจะเติบโตได้ต่ำกว่า 3% จากผลกระทบปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ผลการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้ (16 ก.ย.) มีมติเป็นเอกฉันท์ให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ระดับ 1.50% เนื่องจากยังมองว่าเศรษฐกิจไทยยังชะลอตัว โดยคาดว่าอัตราเงินเฟ้อจะกลับมาเป็นบวกในช่วงไตรมาส 1/59 ซึ่งช้ากว่าคาดการณ์เดิม
สำหรับเงินบาทที่อ่อนค่าในระดับปัจจุบันมีส่วนช่วยสนับสนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัว แต่อย่างไรก็ตาม กนง.ยังคาดว่าปีนี้เศรษบกิจไทยคงจะเติบโตได้ต่ำกว่า 3% จากผลกระทบปัจจัยภายนอกเป็นหลัก
สำหรับเศรษฐกิจไทยในไตรมาสที่ 2 และเดือนก.ค.58 ขยายตัวอย่างช้าๆ การส่งออกที่หดตัวต่อเนื่องตากการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีนและเอเชีย และรายได้ครัวเรือนที่ยังไม่กระเตื้องขึ้น เป็นปัจจัยลบต่อความเชื่อมั่นและการใช้จ่ายของภาคเอกชน อย่างไรก็ดี เศรษฐกิจมีแรงขับเคลื่อนจากภาคการท่องเที่ยวที่ยังขยายตัวสูง และการเบิกจ่ายงบลงทุนของรัฐบาลที่เร่งตัวขึ้น รวมทั้งจะได้รับผลจากมาตรการเศรษฐกิจชุดใหม่ของภาครัฐด้วย
ขณะที่แรงกดดันเงินเฟ้อปรับลดลงตามราคาน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำกว่าที่คาดเป็นหลัก ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้อทั่วไปมีแนวโน้มติดลบต่อเนื่องจนถึงสิ้นปีนี้ และคาดว่าจะกลับเป็นบวกในช่วงไตรมาสที่ 1 ของปีหน้า ซึ่งช้ากว่าที่ประเมินไว้ แต่สำหรับอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานยังคงเป็นบวก สะท้อนว่าราคาสินค้านอกกลุ่มพลังงานส่วนใหญ่ยังมีแนวโน้มทรงตัวสูงหรือปรับขึ้น และการคาดการณ์เงินเฟ้อของสาธารณชนยังอยู่ในระดับใกล้เคียงกับเป้าหมายเงินเฟ้อ ทำให้ความเสี่ยงของภาวะเงินฝืดยังคงมีจำกัด
ทั้งนี้ ประเมินว่าเศรษฐกิจไทยยังคงเผชิญกับปัจจัยลบ โดยเฉพาะจากต่างประเทศ รวมทั้งความผันผวนของตลาดการเงินโลกที่อาจสูงขึ้น อย่างไรก็ดี ภาวะการเงินและอัตราแลกเปลี่ยนยังเอื้อต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ จึงเห็นควรให้คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมครั้งนี้ โดยในระยะต่อไปนโยบายการเงินยังควรอยู่ในระดับผ่อนปรนอย่างเพียงพอและต่อเนื่อง โดยพร้อมใช้เครื่องมือเชิงนโยบายที่มีอยู่อย่างเหมาะสม เพื่อสนับสนุนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจควบคู่กับการรักษาเสถียรภาพทางการเงินของประเทศ
นายเมธี สุภาพงษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายนโยบายการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) ในฐานะเลขานุการ กนง.กล่าวว่า เศรษฐกิจภาพรวมตอนนี้มีการปรับตัวเพิ่มขึ้นของหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้(NPL)ในระบบ ซึ่ง ธปท.ยังต้องติดตามอย่างใกล้ชิด แต่คงไม่มีการใช้นโยบายการเงินใด ๆ เข้ามาดูแลเป็นพิเศษ เพราะ NPL ที่เพิ่มขึ้นเป็นผลจากเศรษฐกิจชะลอตัวเป็นหลัก ซึ่งยังไม่น่าเป็นกังวล และเชื่อว่าจะไม่ลุกลาม
สำหรับอัตราแลกเปลี่ยน ยอมรับว่าเงินบาทมีความผันผวนมาก ซึ่ง ธปท.เข้าไปดูแลบ้าง แต่การอ่อนค่าของเงินบาทในระดับปัจจุบันช่วยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจได้ ซึ่งการอ่อนค่าที่เกิดขึ้นก็มาจากปัจจัยภายนอกเป็นหลัก ทั้งเศรษฐกิจจีนที่ชะลอตัว รวมทั้งกรณีที่เงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้น อย่างไรก็ดี ธปท.ควรจะดูแลให้ค่าเงินบาทสอดคล้องกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก
ส่วนกรณีเงินบาทที่อ่อนค่าจะส่งผลกระทบต่อการลงทุนหรือไม่นั้น นายเมธี มองว่า การลงทุนคงไม่ได้ยึดเหตุผลเรื่องอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก แต่จะต้องดูผลตอบแทนมากกว่า
ทั้งนี้ การประมาณการณ์เศรษฐกิจไทยรอบใหม่ของ ธปท.ในปลายเดือนนี้ เบื้องต้นคาดว่าเศรษฐกิจคงขยายตัวต่ำกว่าเป้าหมายที่วางไว้ 3% แม้จะมีปัจจัยบวกในเรื่องของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น การปล่อยสินเชื่อ กองทุนหมู่บ้าน แต่ก็ยังไม่สามารถชดเชยปัจจัยลบที่มีอยู่ในช่วงที่เหลือของปีนี้ เช่น ภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนที่จะส่งผลต่อการส่งออกของไทย