ผู้ว่าธปท.แนะทำความเข้าใจ-ปรับตัวรับ New Normal ที่ส่งผลต่อศก.ไทย

ผู้ว่าธปท.แนะทำความเข้าใจ-ปรับตัวรับ New Normal ที่ส่งผลต่อศก.ไทย


นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ปาฐกถาในหัวข้อ“เศรษฐกิจไทยกับบริบทใหม่ทางเศรษฐกิจ”ในงานสัมมนาวิชาการธนาคารแห่งประเทศไทยประจำปี 2558 ว่า ช่วงหลายปีที่ผ่านมาบริบทของเศรษฐกิจการเงินโลกและเศรษฐกิจไทยเปลี่ยนแปลงอย่างชัดเจนในหลายมิติ และเป็น New Normal หรือบรรทัดฐานใหม่ที่จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เช่น New Normal ด้านการค้าระหว่างประเทศที่มีแนวโน้มชะลอลง ซึ่งมีนัยต่อบทบาทของภาคการส่งออกไทยในการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ, New Normal ของอัตราเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำทั้งในไทยและต่างประเทศ ส่วนหนึ่งมาจากราคาสินค้าโภคภัณฑ์ที่ลดลงมาก ซึ่งมีผลต่อภาคธุรกิจในการตั้งราคาสินค้าและบริการ,  New Normal จากระบบการเงินโลกที่มีความเชื่อมโยงมากขึ้น ส่งผลให้ตลาดเงินและตลาดทุนในแต่ละประเทศถูกกระทบจากความผันผวนในตลาดการเงินโลกบ่อยครั้ง และ New Normal เกี่ยวกับโครงสร้างประชากร ที่จะมีสัดส่วนผู้สูงอายุที่มากขึ้น ซึ่งจะมีผลต่อภาคการผลิตรวมถึงงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐเกี่ยวกับสวัสดิการสังคมผู้สูงอายุ และความยั่งยืนทางการคลัง

นายประสาร กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้มีขอบเขตที่กว้างกว่าอัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจที่ชะลอตัวลง และรวมถึงความท้าทายในมิติต่างๆ ที่กระทบต่อทุกภาคส่วนในระบบเศรษฐกิจและสังคม อย่างไรก็ดีเพื่อให้เห็นถึงโอกาสและความท้าทายที่ภาคส่วนต่างๆ ต้องเริ่มทำความเข้าใจและปรับตัวให้พร้อมกับบรรทัดฐานใหม่ที่กำลังเกิดขึ้นในการก้าวเข้าสู่บริบทใหม่นี้ มี 3 ประเด็นที่ควรจะเน้นและตระหนักถึง

ประเด็นแรก New Normal เกิดจากการเปลี่ยนแปลงเชิงโครงสร้าง และนโยบายเชิงรุกมีส่วนช่วยทำให้เศรษฐกิจก้าวผ่านการเปลี่ยนแปลงดังกล่าวไปด้วยดี และมองว่า New Normal คือการเปลี่ยนแปลงที่มีผลยั่งยืนยาวนาน โดยมาจากการปรับตัวของปัจจัยเชิงโครงสร้างที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของตัวแปรเชิงลึกในระบบเศรษฐกิจที่บ่อยครั้งถูกมองข้ามไป แต่จริงๆ แล้วเป็นปัจจัยพื้นฐานที่อยู่เบื้องหลังของผลลัพธ์ต่างๆ ในวงกว้าง

ทั้งนี้ หากวิเคราะห์โครงสร้างเศรษฐกิจผ่านปัจจัยการผลิตจะพบว่ากำลังแรงงานหลายประเทศหดตัว การสะสมทุนน้อยลง เทคโนโลยีพัฒนาในอัตราช้าลงส่งผลให้อัตราการขยายตัวทางเศรษฐกิจในหลายประเทศลดลง นอกจากนี้ การค้าระหว่างประเทศมีแนวโน้มชะลอลงอย่างเห็นได้ชัด ในขณะที่การรวมตัวทางการเงินระหว่างประเทศกลับมีการปรับสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว เกิดความเชื่อมโยงระหว่างภาคการเงินในแต่ละประเทศ ขณะเดียวกันเป็นการเพิ่มความผันผวนในตลาดการเงินด้วยเช่นกัน ซึ่งสิ่งที่ต้องจับตาคือ โครงสร้างการค้าโลก และระดับการรวมตัวทางการเงินระหว่างประเทศ

สำหรับนโยบายการเงิน ระดับอัตราเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ในหลายประเทศเป็นพัฒนาการที่สำคัญ โดยสิ่งที่ทุกฝ่ายจับตาขณะนี้คือแนวทางการดำเนินนโยบายการเงินในประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น สหรัฐ ที่กำลังก้าวสู่ New Normal แต่จริงๆ แล้วคือ Back to Normal ซึ่งอาจจะกระทบต่อค่าชดเชยความเสี่ยงที่นักวิเคราะห์หลายคนมองว่าอยู่ในระดับที่ต่ำเกินควรจากการดำเนินนโยบายผ่อนคลายมาเป็นเวลานาน

ประเด็นที่สอง นโยบายเชิงรุกที่เหมาะสมจะต้องมุ่งเน้นที่โครงสร้างเศรษฐกิจ ยกตัวอย่างการรับมือกับการส่งออกของไทยที่มีแนวโน้มชะลอตัวลง ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากปัจจัยภายนอก จากการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการค้าโลกที่อยู่นอกเหนือการควบคุม และอีกส่วนหนึ่งสะท้อนปัจจัยเชิงโครงสร้างในประเทศที่อยู่ภายใต้การควบคุมด้วย ซึ่งการปฏิรูปเชิงรุกที่มุ่งเน้นปัจจัยที่อยู่ภายใต้การควบคุม เช่น โครงสร้างการส่งออกและโครงสร้างเศรษฐกิจมหภาคสามารถมีส่วนช่วยให้การส่งออกยังเป็นแรงขับเคลื่อนเศรษฐกิจที่สำค้ญในระยะต่อไปได้

ประเด็นที่สาม ประสิทธิภาพของภาครัฐเป็นปัจจัยที่มีความสำคัญมากขึ้นในการกำหนดขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ซึ่งสะท้อนบทบาทของภาครัฐในการวางกรอบ กฎ กติกาที่เป็นทั้งขอบเขตและแรงจูงใจของภาคเอกชนในการดำเนินกิจกรรมต่างๆ โดยในประเทศไทย ประสิทธิภาพของภาครัฐเป็นสิ่งที่ต้องเร่งพัฒนา เริ่มจากการทำงานของรัฐวิสาหกิจที่มีการถือครองสินทรัพย์สำคัญของประเทศ ทั้งไฟฟ้า ระบบขนส่ง คลื่นความถี่

ดังนั้น หากรัฐวิสาหกิจไม่มีประสิทธิภาพจะทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจโดยรวมถูกบั่นทอน ที่ผ่านมาการทำงานของรัฐวิสาหกิจมีปัญหาค่อนข้างมาก ทั้งถูกแทรกแซงทางการเมือง ปัญหาเชิงโครงสร้าง การขาดทุน คุณภาพสินค้าหรือบริการที่ยังด้อย ดังนั้นการปฏิรูปรัฐวิสาหกิจจึงเป็นสิ่งเร่งด่วนและจำเป็น ซึ่งจะเป็นการเปลี่ยนแปลงตัวแปรเชิงลึกของระบบเศรษฐกิจซึ่งจะช่วยยกระดับเศรษฐกิจไทยให้ก้าวไปข้างหน้าได้

Back to top button