พาราสาวะถีอรชุน
ตกเป็นขี้ปากให้สื่อทุกสำนักต้องนำเอาคำให้สัมภาษณ์ที่ต่างกันเพียงข้ามวันมานั่งจับผิด พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่วันอังคารออกมาพูดว่าเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ เกี่ยวพันกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังประเทศจีน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะออกมาปฏิเสธโดยอ้างว่าสื่อตีความผิด
ตกเป็นขี้ปากให้สื่อทุกสำนักต้องนำเอาคำให้สัมภาษณ์ที่ต่างกันเพียงข้ามวันมานั่งจับผิด พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ หลังจากที่วันอังคารออกมาพูดว่าเหตุระเบิดแยกราชประสงค์ เกี่ยวพันกับการส่งตัวชาวอุยกูร์ 109 คนไปยังประเทศจีน ก่อนที่วันรุ่งขึ้นจะออกมาปฏิเสธโดยอ้างว่าสื่อตีความผิด
ไม่ว่ากันเพราะเป็นสูตรสำเร็จทุกยุคทุกสมัยไม่ว่าจะนักการเมืองหรือข้าราชการ หากเกิดข้อผิดพลาดอะไรก็จะโยนขี้ให้กับนักข่าวอยู่เสมอ จนกลายเป็นปกติวิสัยไปแล้ว หนนี้ก็เช่นกันเมื่อผบ.ตร.พูดเช่นนั้นก็คงจบในส่วนของท่านไป แต่ที่มันจะไม่เนียนเพราะต่อมาคงเป็นคำให้สัมภาษณ์ของว่าที่ผบ.ตร. พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา หลังเดินทางกลับจากมาเลเซีย
ประเด็นไม่ได้อยู่ที่ 3 ผู้ต้องสงสัยซึ่งถูกตำรวจมาเลย์จับกุม หากแต่อยู่ที่ปมชายเสื้อเหลืองมือหอบกระเป๋ามาวางระเบิด ที่ว่าที่ผบ.ตร.ยอมรับว่าตามข้อมูลที่ได้เป็นผู้ที่มีถิ่นพำนักอยู่ที่เมืองซินเจียง ประเทศจีน ซึ่งใครก็รู้ว่านั่นมันเป็นถิ่นอาศัยของชาวอุยกูร์ เมื่อเป็นเช่นนั้นทฤษฎีที่มีการยกขึ้นมากล่าวอ้างก่อนหน้านี้ที่ว่า อุยกูร์ไม่เคยออกไปก่อเหตุรุนแรงนอกพื้นที่ก็ไม่ใช่ความจริง
กลายเป็นว่าคำปฏิเสธของผบ.ตร.กับคำให้สัมภาษณ์ของว่าที่ผบ.ตร.สวนทางกันอย่างเห็นได้ชัด แท้ที่จริงเรื่องนี้คงไม่มีปัญหาต้องให้ใครฝ่ายไหนเที่ยวนำไปตีความ ถ้าคนทำงานในการสะสางคดีจะไม่เร่งรีบสรุปและให้ข่าวอยู่ตลอดเวลา น่าจะรอให้รวบรวมพยานหลักฐานให้ชัดแล้วสรุปให้แน่นอนว่า แรงจูงใจที่ทำให้กลุ่มก่อเหตุวางระเบิดนั้นคือเรื่องอะไร แล้วแถลงทีเดียวทุกอย่างก็ไม่ยุ่งยากสับสน
แต่เมื่อเลือกที่จะพูดกันคนละทีสองที ข้อมูลมันเลยตีกันวุ่นวายไปหมด แล้วสุดท้ายก็มาโทษที่สื่อ แต่ก็พอจะเข้าใจท่าทีที่เปลี่ยนไปของผบ.ตร. เพราะหลังจากที่มีข่าวว่าเหตุระเบิดเกี่ยวข้องกับการส่งอุยกูร์กลับจีนแล้ว ก็มีเสียงให้สัมภาษณ์ปฏิเสธมาทันทีทันใดทั้งจาก พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา และ พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ งานนี้ขืนเออออห่อหมกตามสมยศต้องหน้าแหกกันทั้งยวง
เก็บตกงานกินข้าวเที่ยงร่วมกับนักข่าวเมื่อวันพุธที่ผ่านมา บิ๊กตู่บอกความจริงไม่อยากลงมาร่วมวงด้วยเพราะยังงอนไม่หาย แต่พอดี สมคิด จาตุศรีพิทักษ์ เอ่ยปากชวนเลยปฏิเสธไม่ได้ แหม!พูดอย่างนี้ไม่รู้ว่าจะไปทำให้ใครบางคนที่ถูกปรับพ้นรัฐนาวาน้อยใจหรือเปล่า ให้ความสำคัญกันเหลือเกินกับหัวหน้าทีมเศรษฐกิจคนใหม่
มันก็น่าจะเป็นไปเช่นนั้น เพราะความจริงแม้ว่าทีมเศรษฐกิจก่อนหน้าจะปฏิบัติงานอยู่ แต่สมคิดก็คือคนข้างกายที่คอยให้คำปรึกษาหัวหน้าคสช.มาโดยตลอด ดังนั้น การออกลูกเกรงใจที่ท่านว่าจึงน่าจะเป็นความจริง แต่สิ่งหนึ่งซึ่งต้องฝากไปยังท่านผู้นำและย้ำกันทุกครั้ง การเป็นผู้บริหารประเทศที่ไม่ใช่หัวหน้าคสช.หรือผบ.ทบ.จะต้องเปิดใจให้กว้างมากกว่านี้
ที่เรียกใครต่อใครไปปรับทัศนคตินั้น เชื่อแน่ว่าคนอย่างสมคิดก็คงจะไม่เห็นด้วย เพราะถ้าเห็นดีเห็นงาม โอกาสที่จะเดินต่อไปบนถนนสายการเมืองนั้นคงลำบาก ส่วนที่ท่านผู้นำบอกว่างอนนั้น น่าจะมาจากการตำหนิสื่อว่าไม่ยอมช่วยตนเองในการทำให้บ้านเมืองสงบ มิหนำซ้ำ ยังไปเขียนถึงสถานการณ์พูดถึงอีกฝ่ายทำให้ดูรุนแรงขึ้น
จนเลยเถิดไปถึงว่าสื่อไม่มีจรรยาบรรณและสมาคมสื่อก็ไม่มีน้ำยาที่จะควบคุมดูแลกันได้ ทำให้ จักร์กฤษ เพิ่มพูล กรรมการควบคุมจริยธรรม สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทยต้องออกมาตอบโต้ โดยบอกว่าเป็นคนละเรื่องคนละประเด็นกัน เพราะข้อกล่าวหาว่าสื่อเขียนข่าวให้ดูรุนแรงขึ้นหรือคำชื่นชมสื่อที่เขียนข่าวดีแล้วในความเห็นของบิ๊กตู่ไม่ได้ส่งผลโดยตรงต่อความเชื่อมั่นประเทศไทย มากกว่าข้อเท็จจริงในผลงานของรัฐบาลหรือประสิทธิภาพในการบริหารประเทศของผู้นำเอง
สิ่งเหล่านี้บิดเบือนไม่ได้ พูดให้คนเชื่อไม่ได้ เขียนให้คนเชื่อไม่ได้ ถ้าไม่ได้มาจากความเป็นจริง หลักจริยธรรมของสื่อชัดเจน การเขียนข่าวต้องยึดถือข้อเท็จจริง ถูกต้องแม่นยำและครบถ้วน ประการสำคัญต้องให้ความเป็นธรรมแก่ทุกฝ่าย สมาคมสื่อไม่อาจก้าวล่วงเข้าไปในการทำงานของสื่อใดๆ หากพวกเขาละเมิดหลักการนี้ก็เป็นเรื่องที่ผู้บริโภคข่าวสาร สังคมทั่วไปจะตรวจสอบเอง
ยังดีที่ได้เห็นบทบาทของคนในสมาคมวิชาชีพสื่อที่กล้าแสดงจุดยืนเช่นนี้ เพราะที่ผ่านมาไม่เคยได้เห็นบทบาทในลักษณะเช่นนี้ อย่างไรก็ตาม นอกเหนือจากสิ่งที่รัฐบาลจะต้องแสดงประสิทธิภาพในการบริหารประเทศให้เป็นที่ประจักษ์แล้ว เรื่องของการเปิดโอกาสยอมรับความเห็นต่างตามครรลองของระบอบประชาธิปไตยก็เป็นสิ่งที่จำเป็น
เพราะตราบใดที่เรายังไม่ได้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง โอกาสในการแก้ไขปัญหาต่างๆ ที่ยากอยู่แล้วยิ่งจะยากมากขึ้นเรื่อยๆ ยิ่งโรดแมปถูกเลื่อนออกไปจะด้วยสูตร 20 เดือนหรือลดให้แล้วเหลือ 18 เดือน เท่ากับประเทศไทยถูกแช่แข็งนานออกไป ปัญหาใหญ่อย่างเศรษฐกิจไทยย่อมยังมองไม่เห็นสัญญาณที่จะฟื้นตัว จนกลัวกันว่าท้ายที่สุดจะหนีไม่พ้นกลายเป็นดาวดับในอาเซียน
วันนี้ที่ก้มหน้ารับสภาพกันเห็นได้ชัดไม่ว่าสินค้าเกษตรขายไม่ได้ราคา การท่องเที่ยวดับวูบ นำเข้าส่งออกมีปัญหา ธุรกิจการค้าตายสนิท จนมีบางคนค่อนขอดว่าภายใต้วิถีชีวิตบ้านเมืองสงบ แต่คนไทยสลบ กลายเป็นกบต้มสุกในหม้อต้ม ถือเป็นภาพสะท้อนอนาคตประเทศไทยว่าไม่ได้สดใสอย่างที่โพนทะนากัน การเปิดรับฟังความเห็นต่างและก้าวไปสู่การเลือกตั้งโดยเร็วน่าจะเป็นคำตอบสุดท้ายของการก้าวข้ามวิกฤตนี้ เว้นเสียแต่ยังมีคนพอใจที่จะให้วิกฤตคงอยู่เพื่อประโยชน์ของตนเองและพวกพ้องนั่นก็อีกเรื่อง