SIS พุ่งเฉียด 15% รับผลดี WFH ลุ้นกำไรปีนี้โตแกร่ง

SIS พุ่งเฉียด 15% รับผลดี WFH ลุ้นกำไรปีนี้โตแกร่ง ล่าสุดอยู่ที่ 31 บาท บวก 4 บาท หรือ 14.81% มูลค่าซื้อขาย 163.42 ล้านบาท


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท เอสไอเอส ดิสทริบิวชั่น (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) หรือ SIS ล่าสุด ณ เวลา 10.22 น. อยู่ที่ 31 บาท บวก 4 บาท หรือ 14.81% สูงสุดที 32.25 บาท ต่ำสุดที่ 30 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 163.42 ล้านบาท

โดย นางสาววิลาสินี บุญมาสูงทรง ผู้อำนวยการฝ่ายวิจัย บล.โกลเบล็ก ประเมินทิศทางตลาดหุ้นไทยมีโอกาสแกว่งตัวผันผวน จากแรงกดดันตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ในประเทศที่ยังเพิ่มสูงขึ้น ประกอบกับการที่หลายจังหวัดที่เป็นพื้นที่สีแดงยกระดับเพื่อป้องกันการแพร่ระบาดโควิด-19 สั่งปิดสถานที่ จำกัดเวลาทำการ เริ่ม 26 เม.ย.นาน 14 วัน

รวมทั้งกรณีที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน มีแผนปรับเพิ่มภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) สูงถึง 43.4% สำหรับชาวอเมริกันที่ร่ำรวย และปรับเพิ่มภาษีสูงถึง 39.6% สำหรับผู้ที่มีรายได้ไม่ต่ำกว่า 1 ล้านดอลลาร์ จากปัจจุบันเรียกเก็บที่ระดับ 20% ส่งผลให้เกิดแรงขายออกมาหลังจากประกาศข่าวดังกล่าว และทางด้านโกลด์แมน แซคส์ คาดการณ์ว่า การขยายตัวของเศรษฐกิจสหรัฐอาจชะลอตัวลง และอัตราเงินเฟ้อมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น หากสถานการณ์ขาดแคลนชิปซึ่งเป็นอุปกรณ์สำคัญในอุตสาหกรรมรถยนต์ โทรศัพท์มือถือ ทีวี และเครื่องเล่นเกมคอนโซล เลวร้ายลง ส่งผลให้คาดการกรอบการเคลื่อนไหวของดัชนีแกว่งตัวในระดับ 1,544-1,587 จุด

โดยจากปัจจัยลบข้างต้นทำให้กดดันปัจจัยบวก อาทิ การรายงานตัวเศรษฐกิจของสหรัฐและยูโรโซนที่ดีกว่าคาด ทั้งยอดขายบ้านใหม่ในเดือนมี.ค.ของสหรัฐ ปรับตัวเพิ่มขึ้น 20.7% สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาด ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) รวมภาคการผลิตและภาคบริการเบื้องต้นของสหรัฐ ในเดือนเม.ย. พุ่งขึ้นเหนือระดับ 50 บ่งชี้ว่า ภาคธุรกิจของสหรัฐขยายตัว อีกทั้งดัชนี PMI รวมภาคการผลิต-บริการเบื้องต้นของยูโรโซน ในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 9 เดือน ได้รับแรงหนุนจากภาคการผลิตที่พุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และการอัดฉีดงบประมาณของรัฐบาลประมาณกว่า 3.8 แสนล้านบาท สำหรับการเยียวยาประชาชนและฟื้นฟูเศรษฐกิจจากการระบาดระลอกใหม่

ทั้งนี้คงต้องจับตาสถานการณ์ต่างๆ ในประเทศ อาทิ  การประชุมครม. การเชิญภาคเอกชน ทั้งคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประชุมหารือเกี่ยวกับแนวทางการจัดหาและกระจายวัคซีนร่วมกับภาครัฐ เพื่อกระจายสู่บุคลากรในภาคอุตสาหกรรม และทางสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.)รายงานภาวะเศรษฐกิจการคลัง ภาวะเศรษฐกิจภูมิภาค  และดัชนีความเชื่อมั่นอนาคตเศรษฐกิจภูมิภาค จับตาการทบทวนประมาณการแนวโน้มเศรษฐกิจไทย ปี 2564 เปลี่ยนแปลงจากเดิมที่เคยคาดไว้ที่ 2.8% หรือไม่ อีกทั้งทาง สศอ.แถลงดัชนีอุตสาหกรรม และ ธปท.รายงานภาวะเศรษฐกิจไทย

รวมถึงปัจจัยต่างประเทศ เช่น จีนเปิดเผยกำไรภาคอุตสาหกรรม ธนาคารกลางญี่ปุ่นประชุมนโยบายการเงิน สหรัฐเปิดเผยราคาบ้านเดือนก.พ. และความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. 27-28 เม.ย. ธนาคารกลางสหรัฐ (FOMC) ประชุมนโยบายการเงิน แถลงมติอัตราดอกเบี้ย(เช้าวันที่ 29 เม.ย.) รวมทั้งการเปิดเผยสต็อกน้ำมันของสหรัฐ ส่วนทางอียูเปิดเผยความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนเม.ย. และสหรัฐเปิดเผยจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ GDP 1Q64 (ประมาณการเบื้องต้น) และยอดทำสัญญาขายบ้านที่รอปิดการขายเดือนมี.ค.

ดังนั้นแนะนำกลยุทธ์การลงทุนหุ้นได้ประโยชน์จาก WFH ได้แก่ COM7, SYNEX, SIS, HMPRO, ILM, ITEL, INSET และ NETBAY

โดยก่อนหน้านี้ บล.เคทีบีเอสที ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 774 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากรายได้ที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 16% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ใกล้เคียงกับ Gartner forecast ที่ประเมินอัตราการขยายตัวของสินค้ากลุ่ม software และ devices ในไทยปี 2564 ที่เพิ่มขึ้น 14% จากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้น 12% จากงวดเดียวกันของปีก่อน รวมทั้งยอดขายกลุ่มสมาร์ตโฟนทั่วโลกที่จะขยายตัวเพิ่มขึ้น 11% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ซึ่งมีสัดส่วนยอดขายกลุ่ม 5G เพิ่มขึ้นเป็น 35% จากยอดขายสมาร์ตโฟนรวม

ทั้งนี้ ประเมินว่ารายได้บริษัทจะขยายตัวจากยอดขายกลุ่มสมาร์ตโฟนที่สูงขึ้น, การใช้ data center และ cloud business เพิ่มขึ้นเพื่อลดต้นทุนในการดำเนินงานด้าน IT ของลูกค้า รวมทั้งสถานการณ์สินค้าที่ขาดตลาดทยอยกลับมาเป็นปกติในครึ่งหลังของปี 2563 อีกทั้งไม่มีค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สงสัยจะสูญของลูกหนี้รายใหญ่เหมือนปี 2563 ที่ 97 ล้านบาท ดังนั้น แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 30.00 บาท

Back to top button