พาราสาวะถี

อรชุน

คลับเฮาส์กับคนชื่อ โทนี่ วูดซัม หรือ ทักษิณ ชินวัตร เปิดประเด็นมาทีไร ทำให้ต้องวิ่งวุ่นกันภายในประเทศกันทุกครั้ง หนนี้ว่ากันด้วยเรื่องของวัคซีนไฟเซอร์ ที่อดีตนายกรัฐมนตรีปูดข้อมูลว่าจากการตรวจเช็กข้อมูลผ่านเว็บไซต์พบว่ามีการนำเข้ามาในประเทศไทยแล้ว ร้อนถึงเลขาธิการคณะกรรมการอาหารและยาหรืออย. ต้องรีบออกมาปฏิเสธทันควัน เช่นเดียวกันกับฝ่ายสื่อสารองค์กรของบริษัท ไฟเซอร์ (ประเทศไทย) จำกัด โดยพูดไปในทำนองเดียวกันคือ ยังอยู่ระหว่างการเจรจา

ไม่ว่าจะเป็นอย่างไร แต่การเปิดประเด็นเรื่องวัคซีนของลุงโทนี่ย่อมจี้ใจดำและตอกย้ำภาพความล้มเหลวในการบริหารจัดการของรัฐบาลต่อกรณีนี้ ยิ่งมีประเด็นที่อธิบดีกรมควบคุมโรคออกมาตอบโต้คนที่บินไปฉีดวัคซีนของไฟเซอร์ฟรีถึงสหรัฐอเมริกา ยิ่งทำให้เกิดภาพหน้าแหกกันไปใหญ่และไม่ใช่มีแค่รายเดียวด้วย มีหลายคนที่โพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียว่าลงทุนบินข้ามน้ำข้ามทะเลเพื่อไปรับวัคซีนโควิด-19 ที่แดนลุงแซม สะท้อนให้เห็นถึงความผิดพลาดในการตัดสินใจและเตรียมการของรัฐบาลสืบทอดอำนาจ

ด้วยเหตุนี้หลังการประชุมคณะรัฐมนตรี ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจึงปฏิเสธที่จะตอบคำถามของผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับประเด็นทางการเมือง โดยเวลา 20 นาทีที่ใช้ไปนั้น เป็นการร่ายยาวตามสคริปต์ถึงการบริหารจัดการต่อสถานการณ์โควิด-19 ที่กำลังหนักหน่วงอยู่เวลานี้ รวมไปถึงมาตรการเยียวยาด้านเศรษฐกิจ ซึ่งก็ไม่ได้มีอะไรแปลกใหม่ ยังคงเป็นมาตรการเดิม ๆ ที่เป็นการแจกแล้วก็แจก แต่มองไม่เห็นแนวทางที่จะสร้างความยั่งยืนได้ในระยะยาว

มาตรการต่าง ๆ ที่ออกมาโดยเฉพาะเรื่องการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยของภาคประชาชนนั้น คำถามสำคัญที่ตามมาก็คือ ในภาวะที่ภาครัฐขอร้องให้ทุกคนเวิร์ก ฟรอม โฮม ทำงานอยู่ที่บ้านและหลีกเลี่ยงการออกนอกบ้านให้มากที่สุด บรรยากาศของการใช้จ่ายเงินมันจะคึกคักได้อย่างไร คนเลือกที่จะเซฟตัวเองมากกว่าที่จะต้องออกไปเผชิญกับภาวะเสี่ยง และจุดนี้ก็สะท้อนให้เห็นว่านโยบายที่ผลักดันออกมานั้น ก็ไม่สอดคล้องกับมาตรการทางสาธารณสุขที่รัฐบาลโดยศบค.เป็นผู้กำหนดเอง

ไม่เพียงเท่านั้น การที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลงนามแต่งตั้งตัวเองเป็น “ผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขโควิด-19 พื้นที่กทม.และปริมณฑล” ก็น่าจะเป็นการประจานให้เห็นถึงการบริหารงานแบบสะเปะสะปะหรือยึดรูปแบบทางการทหารมากไปหรือไม่ ทั้งที่ตัวเองก็มีอำนาจเต็มในฐานะผู้อำนวยการศบค.ที่ใช้อำนาจตามพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ประกอบกับรวบอำนาจจากกฎหมาย 31 ฉบับมาไว้ในมืออยู่แล้ว ทำไมจึงต้องตั้งศูนย์ดังว่าขึ้นมาทับซ้อนกันอีก

ความต้องการกุมอำนาจในทุกระดับอย่างกรณีนี้ชี้ให้เห็นว่าเป็นเรื่องเลอะเทอะไปใหญ่ สะท้อนถึงการบริหารงานที่ไม่เป็นของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ดังนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ยิ่งทักษิณโชว์วิสัยทัศน์มากเท่าไหร่ ก็ยิ่งทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา กลายเป็นเด็กน้อยที่ไม่ประสีประสาถูกด้อยค่าลงไปเรื่อย ๆ และก็เป็นเรื่องปกติอีกเช่นกันที่ไม่สามารถจะไปตอบโต้ได้ เพราะหากอีกฝ่ายโต้กลับมาด้วยข้อมูลที่เหนือกว่าก็จะเงิบกันไปใหญ่

การก้มหน้าก้มตาทำงานด้วยประโยคยอดฮิต “ผมจะไม่มีวันท้อถอยหรือท้อแท้ ไม่ว่าจะต้องเผชิญกับปัญหาใด ๆ และจะไม่หยุดในการคิดและทำเพื่อช่วยเหลือพี่น้องประชาชนทุกคนให้ปลอดภัย และให้ประเทศไทยที่รักของเราทุกคน ก้าวไปข้างหน้าอย่างมั่นคงแข็งแรง” จึงเป็นทางเดียวที่จะเยียวยาความรู้สึกหดหู่ต่อการไม่ได้รับการยอมรับจากประชาชน ขณะที่ผลสัมฤทธิ์แห่งการดำเนินการนั้นยังคงมองหาไม่เจอ และไม่ต้องหวังแรงใจหรือการสนับสนุนจากฝ่ายการเมืองที่เป็นพวกเดียวกันเอง

ในมุมของประชาธิปัตย์แม้จะช่วยปัดป้องในบางเรื่องแต่ก็ไม่ได้กระโดดปกป้องแบบเต็มตัว มิหนำซ้ำ หลายรายที่ออกมากระทุ้งยังไปในเชิงของการเสียดสีเสียด้วยซ้ำ เหมือนรายของ เทพไท เสนพงศ์ ล่าสุด ที่จี้จุดถ้ารัฐบาลไม่มีความคืบหน้าในมาตรการป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ก็จะทำให้คนไทยขาดความเชื่อมั่นต่อรัฐบาล และกลับไปให้ความสำคัญกับแนวความคิดของทักษิณที่ออกมาพูดคุยผ่านแอปพลิเคชันคลับเฮาส์บ่อย ๆ โดยเสนอแนวความคิดการแก้ไขปัญหาโควิด-19 ที่น่าเชื่อถือ

เป็นความจริงที่ว่า ตราบใดที่รัฐบาลไม่สามารถสร้างความเชื่อมั่นให้กับประชาชน หรือล้มเหลวในการแก้ปัญหาโควิด-19 ก็จะทำให้คนไทยส่วนหนึ่งหันไปเรียกหาทักษิณอีก และการขายฝันให้กับคนไทยต่อไปเรื่อย ๆ ก็จะเป็นการดิสเครดิตรัฐบาลโดยตรง ยิ่งความนิยมในตัวผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจลดน้อยลงไปเท่าไหร่ คะแนนนิยมในตัวทักษิณก็จะเพิ่มขึ้นเท่านั้น การที่ให้ลิ่วล้อสอพลอมาตอบโต้ด้วยข้อกล่าวหาเดิม ๆ ยิ่งไม่เป็นผลดีต่อตัวผู้นำแม้แต่น้อย

ขณะที่ฟากของภูมิใจไทย ต่อให้ อนุทิน ชาญวีรกูล พยายามสร้างภาพว่าดูดดื่ม หวานแหววกับผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจขนาดไหน ก็ไม่ได้หมายความว่าในแง่ของการทำงานจะได้รับความไว้วางใจเพิ่มขึ้น เพราะอดีตหัวหน้าคสช.ยังคงเชื่อมั่นในทีมงานด้านความมั่นคงของตัวเองเป็นหลัก เห็นได้ชัดจากการตั้งแต่งตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจเพื่อการบูรณาการด้านการแพทย์และสาธารณสุข ภายใต้ศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด-19 ล่าสุด รัฐมนตรีว่าการและช่วยว่าการกระทรวงคุณหมอเป็นแค่ที่ปรึกษาเท่านั้น

โดยประธานคณะกรรมการก็คือเลขาธิการสมช. เช่นเดียวกับตำแหน่งกรรมการและผู้ช่วยเลขานุการก็มีรองเลขาธิการสมช.ไปทำหน้าที่ตรงนั้นด้วย ด้วยเหตุนี้จึงไม่แปลกกับการโพสต์ของ ศุภชัย ใจสมุทร ที่เป็นประด็นไปก่อนหน้า รอยปริแยกของรัฐบาลสืบทอดอำนาจนั้นเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา และมันก็รอเพียงแค่เวลาว่าเมื่อไหร่จะแตกหัก แต่ภายใต้บริบทที่กราฟความนิยมหัวทิ่มกันทุกฝ่าย จึงจำต้องกล้ำกลืนฝืนทนกันต่อไป และต้องดูด้วยว่าคนไทยจะทนรับสภาพแบบนี้กันได้อีกนานแค่ไหน