“เมย์แบงก์ฯ” มอง JMT ไตรมาส 2 โตต่อ-ครึ่งปีหลังผลงานเด่น รับแผนกว้านซื้อหนี้ 6 พันลบ.
นักวิเคราะห์ บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง มองแนวโน้มกำไรสุทธิ JMT ในไตรมาส 2/2564 จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ก่อนจะก้าวกระโดดในครึ่งปีหลังของปี 64 จากกองหนี้ที่ไม่มีต้นทุนเพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี หนุนราคาหุ้นใน 3-6 เดือนข้างหน้า แนะ “ซื้อ” เป้า 53 บาท
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (14 พ.ค.2564) ว่า รายงานกำไรสุทธิเท่ากับ 283 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ใกล้เคียงกับที่คาดการณ์ ทั้งรายได้ที่เพิ่มขึ้นตามพอร์ตหนี้ และต้นทุนที่ส่วนใหญ่ยังใกล้เคียงไตรมาสก่อน และธุรกิจประกันมีกำไร 3 ล้านบาทจากการปรับการขายประกัน
สำหรับจุดที่น่าสนใจสำหรับหุ้น JMT มี 2 จุดที่น่าสนใจคือ 1. เงินสดเรียกเก็บมากกว่าคาด 6% ที่ 1,005 ล้านบาท ปรับตัวขึ้น 2% จากไตรมาสก่อน และเพิ่มขึ้น 23% จากช่วงเดียวกันเมื่อปีก่อน ทำได้ดีกว่าไตรมาส 4/2562 ที่เป็นช่วงไฮซีซั่น จากการเร่งรัดจัดเก็บเข้าสู่ระดับปกติให้การตั้งสำรองลดลง และ 2. การลงทุนพอร์ตสินเชื่ออยู่ที่ 1,833 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 11% จากไตรมาสก่อน หรือคิดเป็น 52% ของปีที่แล้วทั้งปี ซึ่งจะเป็นฐานการเติบโตในช่วงที่เหลือ
ขณะที่ในแง่ของผลกระทบจากนโยบายรัฐ มองว่าการแข่งขันไม่เป็นอย่างที่ตลาดกังวล โดย JMT จะไม่ถูกประเด็นลบกดดันเหมือนธุรกิจอื่นในกลุ่ม Non-banks จากนโยบายช่วงเหลือภาครัฐ โดยเห็นตั้งแต่การระบาดในรอบแรกว่าภาครัฐให้น้ำหนักช่วยเหลือกับกลุ่มลูกนี้ดี (Non-NPL) จากธนาคารกลุ่มสินเชื่้อ (บ้าน รถ จำนำ SMEs) ซึ่งเป็น 97% ของสินเชื่อในระบบซึ่งเป็นคนละกลุ่มลูกค้าของธุรกิจบริหารหนี้ (AMC) ที่เป็นหนี้เสีย (NPLs) และรอปรับโครงสร้างกับลูกหนี้ 3% ในระบบ อีกทั้งไม่ได้รับผลกระทบจากการแข่งขันที่สูงขึ้น
โดยปัจจุบันปริมาณหนี้จากสถาบันการเงินอยู่ในภาวะ Oversupply จึงเป็นโอกาสของ JMT ซึ่งมีความพร้อมที่จะกว้านซื้อหนี้ที่มีคุณภาพได้ทะลุเป้าหมาย 6,000 ล้านบาท (ลงทุนแล้ว 30% ในไตรมาส 1/2564) ด้วย D/E ปัจจุบัน 1.25 เท่า ทำให้ยอดติดตามเก็บในปี 2565 เป็นต้นไปสูงกว่าที่คาดการณ์ และเป็นส่วนเพิ่มจากที่เคยมองไว้
ทั้งนี้ “ฝ่ายวิจัย” คงคำแนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเหมาะสม 53 บาท โดยกำไรไตรมาส 1/2564 คิดเป็น 19% ของคาดการณ์กำไรทั้งปีที่ 1,479 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 41% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ยังอยู่บนกรอบเป้าหมาย โดยมองว่าระยะสั้นอาจได้รับผลกระทบเล็กน้อย (น้อยกว่า 10% กลุ่มเดิมที่อิงธุรกิจท่องเที่ยว) แต่เชื่อว่าแนวโน้มกำไรสุทธิในไตรมาส 2/2564 จะทำได้ใกล้เคียงกับไตรมาสที่ผ่านมา ก่อนจะก้าวกระโดดในครึ่งปีหลังของปี 64 จากกองหนี้ที่ไม่มีต้นทุน (FA) เพิ่มขึ้นในช่วงกลางปี หนุนราคาหุ้นใน 3-6 เดือนข้างหน้า ประเมินราคาเหมาะสมปี 2564 เท่ากับ 53 บาท อิง P/E ปี 64 ที่ 40 เท่า เทียบ PEG 1 เท่า บนอัตราเติบโตเฉลี่ยสะสม (2 ปี CAGR) 40% ต่อปี