8 โบรกฯ ประเมินเป้าหุ้น “โรงพยาบาลลาดพร้าว” ที่ 7.30-7.92 บ.
8 โบรกฯ ประเมินเป้า LPH หรือ โรงพยาบาล ลาดพร้าว ที่ 7.30-7.92 บาทสะท้อนพื้นฐานดีมีศักยภาพโตสูง
นักวิเคราะห์จากโบรกฯชั้นนำผู้ร่วมจัดจำหน่ายหุ้น บริษัท โรงพยาบาล ลาดพร้าว จำกัด (มหาชน) หรือ LPH ทั้ง 8 แห่ง ได้แก่ บล.เคจีไอ (ประเทศไทย), บล.ทิสโก้, บล.ทรีนีตี้, บล.โนมูระ พัฒนสิน, บล.ฟินันเซีย ไซรัส, บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย), บล.เอเชีย พลัส และ บล.อาร์เอชบี โอเอสเค (ประเทศไทย)ประเมินราคาเป้าหมายเฉลี่ย 7.30 บาทต่อหุ้น และให้ราคาเป้าหมายสูงสุดที่ 7.92 บาทต่อหุ้น สะท้อนหุ้น LPH มีพื้นฐานแข็งแกร่ง มีอนาคตสดใส มีแนวโน้มเติบโตโดดเด่น
จากแผนพัฒนาศูนย์การแพทย์เฉพาะทางสู่ความเป็นเลิศทางการแพทย์ (Excellent Center) โดยเริ่มจาก 5 ศูนย์ทางการแพทย์ คือ ศูนย์ระบบทางเดินอาหารและตับ ศูนย์จักษุ ศูนย์ศัลยกรรมกระดูกและข้อ และศูนย์สมองและระบบประสาท ศูนย์ผิวหนังและความงามเพื่อรองรับการเติบโตของกลุ่มประชากรผู้สูงอายุที่ปัจจุบันมีแนวโน้มเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะเป็นการเพิ่มฐานกลุ่มผู้ใช้บริการของโรงพยาบาลฯ ลูกค้าทั่วไป รวมทั้งรองรับการรักษาโรคที่ซับซ้อนมากขึ้น และจะสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรที่สูงขึ้นของบริษัทฯในอนาคต
นอกจากนี้ บริษัทยังมีโครงการขยายการลงทุนต่อเนื่องในอีก 3-5 ปีข้างหน้า ศูนย์การแพทย์ประกันสังคมเพื่อโอกาสในการรับโควต้าที่มากขึ้น ศูนย์พักฟื้นดูแลผู้สูงอายุ และการสร้างโรงพยาบาลลาดพร้าวแห่งใหม่ ซึ่งจะมีเตียงให้บริการเพิ่มขึ้นอีก 180 เตียงในบริเวณเขตลำลูกกา ซึ่งเป็นเขตที่มีจำนวนประชากรเติบโตสูงและมีหมู่บ้าน ชุมชน โรงงาน จำนวนมาก ทั้งนี้ เพื่อขยายฐานลูกค้าและสร้างการเติบโตอย่างโดดเด่นยั่งยืนในอนาคต
จากแผนเติบโตดังกล่าว คาดว่าจะทำให้บริษัทฯสามารถมีการเติบโตของรายได้ไม่ต่ำกว่า 15% ต่อปี โดยบริษัทมีนโยบายการจ่ายปันผลในอัตราไม่ต่ำกว่า 50% ของกำไรสุทธิหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและสำรองตามกฎหมาย
ทั้งนี้ จากบทวิเคราะห์ LPH พบว่า นักวิเคราะห์มองว่า เป็นบริษัทฯ ที่มีศักยภาพในการเติบโตอย่างยั่งยืน จากมีพื้นที่ทำเลที่ตั้งที่ดี มีประชากรอาศัยอยู่อย่างหนาแน่น มีการดำเนินธุรกิจด้วยทีมแพทย์และทีมบริหารที่มีประสบการณ์กว่า 22 ปี มีการให้บริการให้แก่ผู้ใช้บริการที่หลากหลาย ลดความเสี่ยงจากความผันผวนของเศรษฐกิจ รวมถึงมีโอกาสเติบโตที่สดใส จากโครงการลงทุนในอนาคตของบริษัทฯ ทั้ง 4 โครงการ ที่สามารถจะสร้างรายได้และผลกำไรให้เติบโตได้อย่างโดดเด่นและมั่นคง
อนึ่ง LPH ได้ยื่นแบบคำขออนุญาตเสนอขายหลักทรัพย์และแบบไฟลิ่งต่อก.ล.ต.เพื่อขอเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนให้แก่ประชาชนเป็นครั้งแรกจำนวน 200 ล้านหุ้น คิดเป็น 26.67% ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯภายหลังการเสนอ ขายหุ้นเพิ่มทุนซึ่งปัจจุบันบริษัทฯ มีทุนจดทะเบียนจำนวน 375 ล้านบาท โดยทุนที่ออกจำหน่ายและเรียกชำระแล้วมีจำนวน 275 ล้านบาท คิดเป็น 550 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.5 บาท
LPH มีการประกอบธุรกิจหลักคือ ธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน โดยให้บริการรักษาโรคทั่วไปและศูนย์บริการแพทย์เฉพาะทาง สามารถให้บริการทั้งผู้ป่วยใน ผู้ป่วยนอก และผู้ป่วยฉุกเฉิน ภายใต้แบรนด์ “โรงพยาบาลลาดพร้าว” โดยมีศักยภาพการให้บริการผู้ป่วยนอกประมาณ 3,400 คนต่อวัน มีเตียงผู้ป่วยใน 180 เตียง โรงพยาบาลมีจุดเด่นด้านแม่และเด็กและมีแพทย์ผู้เชี่ยวชาญที่ได้รับการยอมรับ ในวงการหลากหลายสาขา และมีการดำเนินการยกระดับศูนย์การแพทย์เฉพาะทางเพื่อก้าวสู่ความเป็นเลิศทาง การแพทย์ 5 ศูนย์
โรงพยาบาลมีแผนขยายพื้นที่ให้บริการ ทั้งศูนย์ประกันสังคม ศูนย์พักฟื้นดูแลผู้สูงอายุ และสร้างโรงพยาบาลแห่งใหม่ เพื่อเพิ่มศักยภาพการให้บริการและขยายฐานลูกค้าในพื้นที่และเขตใกล้เคียง ตามความต้องการที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องของประชากร ในพื้นที่โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าผู้สูงอายุและรองรับโรคที่ซับ ซ้อนมากยิ่งขึ้น โดยที่ผ่านมาโรงพยาบาลฯมีลูกค้าที่หลากหลายกระจายทั้งกลุ่มลูกค้าทั่วไป กลุ่มประกันคู่สัญญาและกลุ่มลูกค้าประกันสังคม
นอกจากนี้ บริษัทฯมีบริษัทย่อย คือ บริษัทศูนย์ห้องปฏิบัติการและวิจัยทางการแพทย์และการเกษตรแห่งเอชีย หรือ AMARC ดำเนินธุรกิจบริการตรวจวิเคราะห์ ทดสอบและวิจัยด้านอาหาร ผลิตผลการเกษตรและยา ซึ่งมีมาตรฐานเป็นที่ยอมรับระดับนานาชาติ ดำเนินการโดยผู้เชี่ยวชาญและมีการลงทุนด้านการวิจัยพัฒนาสูง จึงเป็นธุรกิจที่มีคู่แข่งในระดับเดียวกันน้อยราย และมีศักยภาพการเติบโตสูง
สำหรับผลการดำเนินงานบริษัทฯมีรายได้เติบอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 55-57 บริษัทฯและบริษัทย่อยมีรายได้รวมทั้งสิ้น จำนวน 917.43,1,063.07 และ 1,136.57 ล้านบาทตามลำดับ หรือคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยต่อปี (CAGR) 11.30% และมีกำไรสุทธิสำหรับปี 55-57 เท่ากับ 79.5 ล้านบาท 108.43 ล้านบาท และ 99.88 ล้านบาท ตามลำดับ
ช่วง 6 เดือนแรกของปี 58 บริษัทฯ มีรายได้และกำไรอยู่ที่ 600.32 ล้านบาท และ 31.92 ล้านบาท ประกอบกับฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง ซึ่งมีอัตราส่วนหนี้สินต่อทุน (D/E) สิ้นสุดไตรมาส 2/58 อยู่ที่ 1.31 เท่า