หุ้นปรับฐาน จังหวะซื้อ

เดือนพฤษภาคม 2564 ผ่านมาแล้ว 9 วันทำการ (สำหรับตลาดหุ้น)


ลูบคมตลาดทุน : ธนะชัย ณ นคร

เดือนพฤษภาคม 2564 ผ่านมาแล้ว 9 วันทำการ (สำหรับตลาดหุ้น)

ดัชนีหุ้นไทยร่วงลงจากระดับ 1,583 จุด (30 เม.ย. 2564) มาอยู่ที่ 1,549 จุด (17 พ.ค. 2564) หรือเปลี่ยนแปลง -2.14%

หากจะถามว่านี่คือปรากฏการณ์ของ Sell In May ใช่ไหม

Sell In May ที่เป็นช่วงหลังจากบริษัทจดทะเบียนหรือ บจ.ต่างแจ้งผลประกอบการไตรมาสแรกของปีออกมา

พร้อมกับขึ้นเครื่องหมาย XD เพื่อจ่ายเงินปันผล

คำตอบที่ออกมา อาจจะมีส่วนบ้าง

แต่ก็อาจจะผสมกับประเด็นที่ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดหุ้นไทยเผชิญกับปัจจัยลบรอบด้านเข้ามาพอดี ทั้งจากต่างประเทศ เรื่องเงินเฟ้อสหรัฐฯ ลามไปถึงประเด็นดอกเบี้ยนโยบายของเฟดที่อาจปรับขึ้น

บวกกับสถานการณ์โควิด-19 ในประเทศ

และล่าสุดคือสภาพัฒน์ปรับลดคาดการณ์ตัวเลขจีดีพีของไทยลงเหลือ 1.5-2.5% จากเดิมคาดไว้ว่าจะเติบโตราว 2.5-3.5%

สถานการณ์ตลาดหุ้นแบบนี้

มีมุมมองที่น่าสนใจจากบรรดากูรูในวงการตลาดหุ้น

อย่าง Creative Investment Space (CIS) หรือสถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่

สถาบันแห่งนี้มองว่า ตลาดหุ้นไทยในเดือน พ.ค. 2564 ปรับฐานลงมา ถือเป็นโอกาสให้นักลงทุนเลือกหุ้นที่มีผลประกอบการที่ดี ทยอยสะสมรอตลาดหุ้นกลับตัวมาเป็นบวกอีกครั้ง

เหตุผลเพราะในระยะกลาง-ยาว ยังเชื่อมั่นว่า ภาครัฐน่าจะพยายามผลักดันเรื่องวัคซีนโควิด-19 ให้ถูกกระจายได้มากขึ้น

และครึ่งปีหลัง สถานการณ์การส่งออกของไทย จะคลี่คลายไปในทิศทางที่ดีขึ้น

และมองว่าตลาดหุ้นไทย มีโอกาสจะปรับตัวเชิงบวกล่วงหน้าได้

CIS มีความเห็นว่าระยะยาวเศรษฐกิจทั่วโลกกำลังฟื้นตัว

และหุ้นยังคงเป็นสินทรัพย์การลงทุนที่น่าสนใจ

ในระยะสั้นหากเกิดปรากฏการณ์นักลงทุน “เทขายหุ้นทำกำไร” ในช่วงเดือน พ.ค.หรือ Sell In May

ถือเป็นโอกาสในการเพิ่มพอร์ตลงทุนในหุ้น

สาเหตุหลักที่ทำให้เกิด Sell In May ในตลาดหุ้นไทย โดยปกติช่วงไตรมาส 2 และ 3 ของไทยจะเป็นช่วง Low Season ทางเศรษฐกิจ ประกอบกับค่าเงินบาทมักจะอ่อนค่าเสมอในเดือน พ.ค.

นั่นเพราะเป็นฤดูกาลจ่าย “เงินปันผล” ของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ไทย

และมีการนำเงินออกไปยังต่างประเทศ

“ปรากฏการณ์ Sell In May มีโอกาสเกิดกับตลาดหุ้นอื่นทั่วโลก โดยตลาดหุ้นไทยมีโอกาสความน่าจะเป็นสูงถึง 60% ประเทศอื่น 50% และตลาดหุ้นสหรัฐฯ 33%”

มีความเห็นที่น่าสนใจจาก “ไพบูลย์ นลินทรางกูร” ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (FETCO)

เขาได้แสดงความเห็นแบบส่วนตัวเกี่ยวกับตลาดหุ้นไทยด้วย

โดยยกตัวอย่างของผลสำรวจความคิดเห็นของนักลงทุนล่าสุด

จัดทำโดยสภาธุรกิจตลาดทุนไทย

ชี้ชัดว่านักลงทุนยังคงมีระดับ “ความเชื่อมั่นสูง” และมีมุมมองที่เป็นบวกต่อทิศทางตลาดหุ้นไทย

ทว่าปัจจัยที่สร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุนมากที่สุดในช่วงนี้ คือ “วัคซีน”

ตั้งแต่เริ่มมีการอนุมัติใช้วัคซีนเมื่อปลายปีที่แล้ว

ตลาดหุ้นทั่วโลกก็ตอบสนองในทิศทางบวกอย่างต่อเนื่อง

ดัชนีตลาดหุ้นโลก (MSCI World Index) ปรับขึ้นเกือบ 30% ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา สร้างสถิติสูงสุดใหม่ในเดือนที่แล้ว

ล่าสุด ผลการศึกษาของฝ่ายวิจัยบริษัทหลักทรัพย์ทิสโก้ พบว่าความเคลื่อนไหวของตลาดหุ้นแต่ละประเทศในปีนี้ มีความสัมพันธ์ในทางบวก (ค่า Correlation อยู่ที่ 68%) เมื่อเทียบกับความคืบหน้าการฉีดวัคซีนของประเทศนั้น ๆ

โดยพิจารณาจากอัตราการฉีดวัคซีนต่อจำนวนประชากร

แบบจำลองความสัมพันธ์นี้ยังพบอีกว่า อัตราการฉีดวัคซีนต่อจำนวนประชากรที่เพิ่มขึ้นทุก ๆ 10% นั้น

จะมีผลเชิงบวกต่อผลตอบแทนตลาดหุ้นโดยเฉลี่ยสูงขึ้นประมาณ 2.5%

ดังนั้น การดำเนินการจัดหาและฉีดวัคซีนให้ได้ตามเป้าหมาย 50 ล้านคนของรัฐบาลภายในสิ้นปีนี้

จึงมีความสำคัญมากต่อทิศทางตลาดหุ้นไทยในระยะถัดไป

ถ้าทำได้ตามแผนนี้ เราน่าจะได้เห็นตลาดหุ้นไทยอยู่ในขาขึ้นต่อเนื่องไปจนถึงปีหน้า

ได้รับข้อมูลแบบนี้แล้ว

ช่วงหุ้นไทยที่ดัชนีแกว่ง ปรับฐาน

น่าจะเป็นจังหวะในการเข้าซื้ออย่างที่บรรดากูรูแนะนำกัน

Back to top button