STEC-CK กอดคอพุ่ง! ลุ้นคว้างานรถไฟทางคู่ “เด่นชัย-เชียงของ” 2 สัญญา หลังบิดราคาต่ำสุด

STEC-CK กอดคอวิ่งแรง หลังกลุ่มกิจการร่วมค้า เข้าร่วมประมูลงานรถไฟทางคู่ "เด่นชัย-เชียงของ" โดยประมูลราคาต่ำสุด 2 สัญญา


ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคา บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจีเนียริ่งแอนด์คอนสตรัคชั่น จำกัด(มหาชน) หรือ STEC วันที่ 20 พ.ค. 2564 ณ เวลา 10.54 น. อยู่ที่ 15.50 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.70 บาท หรือ 4.73% สูงสุดที่ 15.50บาท ต่ำสุดที่ 15.10 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 614.64 ล้านบาท

ขณะเดียวกันราคาหุ้นบริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK อยู่ที่ 19 บาท ปรับเพิ่มขึ้น 0.40 บาท หรือ 2.15% สูงสุดที่ 19.20 บาท ต่ำสุดที่ 18.70 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 337.50 ล้านบาท

โดยราคาหุ้นทั้ง 2 บจ. ปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญวันนี้ หลังจากวานนี้ (19 พ.ค.2564) แหล่งข่าวจากวงในบริษัทผู้รับเหมา เปิดเผยว่า ผลการประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟทางคู่สายเด่นชัย-เชียงราย-เชียงของ 3 สัญญา ได้แก่

สัญญาที่ 1 ช่วงเด่นชัย-งาว ระยะทาง 103 กม. มีผู้ยื่นซองประมูล 2 ราย คือ กลุ่มกิจการร่วมค้า ITD-NWR (บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) หรือ ITD และ บริษัท เนาวรัตน์พัฒนาการ จำกัด (มหาชน) หรือ NWR) เสนอราคา 26,568 ล้านบาท ส่วนกลุ่มกิจการร่วมค้า CKST-DC1 (บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) หรือ CK) บริษัท ซิโน-ไทย เอ็นจิเนียริ่ง แอนด์ คอนสตรัคชั่น จำกัด (มหาชน) หรือ STEC) และบ.นอกตลาด) เสนอราคา 26,700 ล้านบาท โดยกลุ่ม ITD-NWR เสนอราคาต่ำที่สุด จากราคากลาง 26,599.17 ล้านบาท

สัญญาที่ 2 ช่วงงาว-เชียงราย ระยะทาง 132 กม. มีผู้ยื่นซองประมูล 2 ราย กลุ่มกิจการร่วมค้า CKST-DC2 เสนอราคา 26,900 ล้านบาท ส่วน ITD เสนอราคา 27,025 ล้านบาท โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า CKST-DC2  เสนอราคาต่ำสุด จากราคากลาง 26,913.78 ล้านบาท

และสัญญาที่ 3 ช่วงเชียงราย-เชียงของ ระยะทาง 87 กม. มีผู้ยื่นซองประมูล 2 ราย กลุ่มกิจการร่วมค้า CKST-DC3 เสนอราคา 19,390 ล้านบาท ส่วน ITD เสนอราคา 19,600 ล้านบาท โดยกลุ่มกิจการร่วมค้า CKST-DC3 เสนอราคาต่ำสุด จากราคากลาง 19,406.31 ล้านบาท

อนึ่ง การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) คาดว่าจะจะประกาศผู้ชนะอย่างเป็นทางการได้ในวันที่ 9 ก.ค.นี้ หลังจากเสนอต่อคณะกรรมการ รฟท.ในช่วงต้นเดือน ก.ค.

ด้าน บล.กสิกรไทย แนะนำหุ้น CK (ราคาพื้นฐาน 28.65 บาท) มุมมองบวกระยะยาวต่อการประมูลโครงการภาครัฐ ซึ่งคาดว่าจะช่วยให้กำไรสุทธิเติบโตแบบ S-curve และความสำเร็จในการสร้างยอด Backlog ขึ้นเป็น 200,000 ล้านบาท

ขณะที่แนะนำ STEC (ราคาพื้นฐาน 20.23 บาท) คาดว่าบริษัทจะสามารถบริหารจัดการผลกระทบจากราคาเหล็กที่ปรับตัวสูงขึ้นได้ ขณะที่การลงทุนภาครัฐและเอกชนคาดว่าจะสูงขึ้นอย่างมีนัยะสำคัญในปีนี้ 64 ช่วยสนับสนุนยอด backlog และ GPM ของบริษัท ขณะที่ระดับมูลค่ายังถือว่าน่าสนใจที่ PBV 1.44 เท่า หรือต่ำกว่า -1.5SD จากค่าเฉลี่ย 5 ปี

Back to top button