JWD คาดปี 64 รายได้ 5 พันลบ. รุกขยายธุรกิจต่างแดน หนุนเป้าแตะ 1 หมื่นลบ.ใน 5 ปี

JWD วางแผนขยายธุรกิจสู่ต่างแดนเน้นตลาด “กัมพูชา”- เข้าซื้อหุ้น บ.โลจิสติกส์ “สิงคโปร์” คาดการณ์รายได้ 5 พันล้านบาทในปี 2564 เป้าแตะ 1 หมื่นล้านบาท ในปี 2568


นายชวนินทร์ บัณฑิตกฤษดา ประธานกรรมการบริหารและประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เจดับเบิ้ลยูดี อินโฟโลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ JWD เปิดเผยว่า บริษัทยังคงสามารถสร้างการเติบโตของรายได้และกำไรได้อย่างต่อเนื่อง โดยคาดการณ์ว่ารายได้และกำไรในไตรมาส 2/2564 จะมีการเติบโตดีกว่าไตรมาส 1/2564

โดยปกติในช่วงไตรมาส 2 จะเป็นช่วงที่มีวันหยุดยาวมาก ส่งผลให้รายได้และกำไรลดน้อยลง ส่วนในปีนี้บริษัทจะมีการรับรู้รายได้จากการเข้าควบรวมกิจการ (M&A) บริษัท วีเอ็นเอส ทรานสปอร์ต จำกัด (VNS) และเชื่อว่า VNS จะเป็นตัวขับเคลื่อนให้บริษัทย่อยอย่าง บริษัท เจดับเบิ้ลยูดีทรานสปอร์ต (ประเทศไทย) จำกัด (JTS) ซึ่งสามารถเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ได้ เพราะฉะนั้นบริษัทจึงไม่ได้รับผลกระทบสถานการณ์การระบาดของโควิด-19 ระลอกใหม่

สำหรับโครงการที่จะช่วยขับเคลื่อนการเติบโตของรายได้และกำไร เช่น โครงการ Barge Terminal ได้มีการดำเนินงานตั้งแต่ช่วงกลางปีที่แล้ว และมีจำนวนตู้คอนเทนเนอร์ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยในไตรมาส 1/2564 มี 39,143 ตู้ และโครงการรถขนส่งวัคซีนที่ประเทศกัมพูชา ส่วนในประเทศไทยบริษัทได้มีการเจรจาเรื่องการขนส่งวัคซีนในประเทศไทยกับทางบริษัท สยามไบโอไซเอนซ์ จำกัด เบื้องต้นแล้ว

นอกจากนี้ JWD ยังได้เข้าซื้อหุ้นเพิ่มอีก 10% จากเดิมที่ถือหุ้นอยู่ 50%ในบริษัท EMLOG Logistics & Warehousing Pte Ltd. (ประเทศสิงคโปร์) รวมทั้งการร่วมลงทุน (JV) กับ บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) หรือ ORI ในการพัฒนาธุรกิจโลจิสติกส์ และอินดัสเทรียล โดยมีแผนจะขยายโครงการเพิ่มเติมอีกหลายโครงการในอนาคต ซึ่งในปี 2564 มีโครงการแล้ว 2 โครงการ มีพื้นที่ประมาณ 62,000 ตารางเมตร

ด้าน นายเอกพงษ์ ตั้งศรีสงวน ประธานเจ้าหน้าที่ฝ่ายการเงิน JWD เปิดเผยถึงผลการดำเนินงานในไตรมาส 1/2564 มีการเติบโตอย่างต่อเนื่องจากช่วงปลายปีที่แล้ว มีรายได้อยู่ที่ 1,147.1 ล้านบาท ซึ่งมีการเติบโตกว่าไตรมาส 1/2563 ที่ 18.7% โดยสัดส่วนรายได้มาจากกลุ่มโลจิสติกส์ 68.8% จากซัพพลายเชน 22.4% และจากธุรกิจอื่นๆ อีก 8.8% ทั้งนี้บริษัทมองว่าการที่ธุรกิจสามารถเติบโตได้นั้นมาจากความหลากหลายในการทำธุรกิจ ประกอบกับการทำงานร่วมกับลูกค้าทั้งแบบ B2B และ B2C

นอกจากนี้ บริษัทได้วางเป้าหมายในระยะ 5 ปีข้างหน้า (ปี 2564-2568) โดยตั้งเป้ารายได้แตะที่ 1 หมื่นล้านบาท และคาดการณ์ว่าบริษัทจะสามารถสร้างอัตรากำไรสุทธิที่ 15% จากปัจจุบันที่มีอยู่ 9% โดยในปี 2564 คาดว่าบริษัทจะสามารถทำรายได้อยู่ที่ 5 พันล้านบาท

ส่วนแผนการดำเนินงานในระยะ 5 ปี บริษัทวางแผนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง และจะมีการดำเนินการขยายธุรกิจไปยังต่างประเทศ โดยเฉพาะประเทศกัมพูชาที่มีการเติบโตของตลาดโลจิสติกส์ค่อนข้างดี บริษัทจึงย้ายพนักงานไปอยู่ที่กัมพูชาเพื่อรองรับตลาดที่มีการเติบโตสูง แต่ในปี 2564 จะมีการดำเนินงานที่ค่อนข้างล่าช้า เนื่องจากกัมพูชาประสบปัญหาเรื่องการระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรง ส่วนประเทศเวียดนามบริษัทวางแผนจะเพิ่มสัดส่วนในการเข้าถือหุ้นเพิ่มจากเดิมมีสัดส่วน 25% เนื่องจากมีการเติบโตที่ดีอย่างต่อเนื่องจากปีที่แล้ว

Back to top button