CHG แนวโน้มกำไร Q2 ฟื้น หนุนทั้งปีแตะ 1.13 พันลบ. โบรกฯแนะ “ทยอยซื้อ” เป้า 3.78 บ.
“บล.ฟิลลิป (ประเทศไทย)” ชี้ CHG ผลงาน Q1/64 เด่น โชว์รายได้ 1.47 พันลบ. ขณะที่กำไรสุทธิ 251.80 ลบ. แรงหนุนโควิด-19 ที่มีการให้บริการตรวจ-รักษา-Hopitel และสถานที่กักตัวทางเลือก มองแนวโน้มไตรมาส 2 กำไรฟื้น หนุนทั้งปีแตะ 1.13 พันลบ. อัพเป้า 3.78 บ. แนะ “ทยอยซื้อ”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 สิ้นสุดวันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,472.00 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน 1,321.60 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทมีกำไรสุทธิขยับขึ้นมาอยู่ที่ 251.80 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 35% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนมีกำไรสุทธิ 186.50 ล้านบาท
โดยเป็นผลจากรายได้ในกลุ่มผู้ป่วยทั่วไปเพิ่มขึ้น ซึ่งแยกออกเป็นรายได้จากกลุ่มผู้ป่วยนอก (OPD) เพิ่มขึ้น 62.5 ล้านบาท ทั้งนี้ผู้ป่วยนอกเพิ่มขึ้นจากการกลับเข้ามาใช้บริการต่างๆ ของสถานพยาบาล รวมถึงการขยายการให้บริการที่เกี่ยวเนื่องจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 อาทิ การให้บริการตรวจคัดกรองโควิด-19 และการให้บริการเกี่ยวกับสถานกักกันโรค นอกจากนี้มีรายได้โครงการประกันสังคมเพิ่มขึ้น เนื่องจากจำนวนผู้ประกันตนที่เพิ่มขึ้นและจากรายได้ค่าบริการทางการแพทย์ที่มีค่าใช้จ่ายสูง และมีรายได้จากโครงการภาครัฐเพิ่มขึ้น
ขณะเดียวกัน บริษัทหลักทรัพย์ ฟิลลิป (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (21 พ.ค. 2564 ) หลังจาก บริษัท โรงพยาบาลจุฬารัตน์ จำกัด (มหาชน) หรือ CHG รายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ปี 2564 ออกมาเห็นได้ชัดว่ารายได้ที่เพิ่มขึ้น เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ซึ่งเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนรับรู้ 100 ล้านบาท จากการให้บริการตรวจ COVID-19 เพิ่มขึ้น เนื่องจากรพ.ของ CHG ตั้งอยู่ในพื้นที่ที่มีการระบาดสูง เช่น สมุทรปราการ ชลบุรี รวมถึงมีคนไข้จาก กรุงเทพฯ เดินทางมารักษา โดยเฉพาะช่วงต้นเดือนเมษายน ที่ผ่านมา ทำให้มีจำนวนเคสตรวจเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ เฉลี่ยขั้นต่ำวันละ 1,500 ราย แม้ว่าปัจจุบันจะแผ่วลงแต่ก็ยังอยู่ที่ราว 500 ราย
อีกทั้งมีรายได้จากการรักษาผู้ป่วยติดเชื้อ COVID-19 ทางรพ. มีจำนวนเตียงให้บริการรองรับอยู่ 200 กว่าเตียง ซึ่งอัตราการเข้ามาใช้บริการเต็มเกือบ 100% ทั้งนี้มีปิดรพ. CHG 5 (ขนาด 50 เตียง) เพื่อให้บริการหรือรักษาผู้ป่วยติดเชื้อฯ โดยเฉพาะ และมีรายได้จาก Hopitel ร่วมกับผู้ประกอบการโรงแรมจำนวน 4 แห่ง หรือประมาณ 1,600 เตียง ซึ่งมีอัตราเข้าใช้บริการอยู่ที่ราว 35% และรายได้จากสถานที่กักตัวทางเลือก (ASQ) ที่ร่วมกับจำนวนโรงแรมอีก 8 แห่ง
นอกจากนี้บริษัทฯยังรับรู้รายได้จากการรับจ้างบริหาร โรงพยาบาลเมืองพัทยา 2 แห่ง เพิ่มขึ้นจากในไตรมาสก่อนเข้ามายังไม่เต็มที่ประมาณ 2 เดือนครึ่ง อยู่ที่ราว 55 ล้านบาท ซึ่งปกติจะอยู่ที่ประมาณไตรมาสละ 65-70 ล้านบาท และจะเริ่มรับรู้รายได้จากคนไข้ศูนย์หัวใจ โรงพยาบาลสิรินธร (ลาดกระบัง) เข้ามาครั้งแรกตั้งแต่เดือนเมษายน 2564 เป็นต้นไป ประมาณปีละ 150 ล้านบาท หรือเฉลี่ยเดือนละ 12.50 ล้านบาท หนุนรายได้ รพ.และมาร์จิ้นดีขึ้นทำให้การดำเนินงานไตรมาส 2 ปี 2564 คาดกำไรฟื้นตัวดีขึ้นมากจากงวดเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อนหน้า
โดยผลดังกล่าวทำให้ทาง “ฝ่ายวิจัย” ปรับประมาณการกำไรทั้งปีขึ้นเป็น 1.13 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 29.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน และรายได้ค่ารักษาอยู่ที่ 6.43 พันล้านบาท สูงขึ้น 18.40% เมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน
อย่างไรก็ตามผลการดำเนินงานเติบโตมากขึ้นจากไตรมาสก่อน ตามแนวโน้มรายได้ที่เพิ่มขึ้น เช่นจากรายได้เสริม COVID-19 ,รายได้รับจ้างบริหารโรงพยาบาล และรายได้จากคนไข้ศูนย์หัวใจโรงพยาบาลสิรินธร ทั้งนี้หากมีการกระจายวัคซีนในประเทศมากขึ้นอาจทำให้รายได้ที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 ลดลง แต่จะได้แรงหนุนจากลูกค้าเงินสดทยอยกลับเข้ามาใช้บริการรพ. มากขึ้น ซึ่งเคสผ่าตัดใหญ่ๆจะช่วยหนุนมาร์จิ้นให้ดีขึ้น รวมถึงการเข้ามาของลูกค้าชาวต่างชาติจะกระทำได้ง่ายขึ้น
สำหรับวัคซีนทางเลือกปัจจุบัน CHG อยู่ระหว่างสำรวจความต้องการวัคซีน “ Moderna” ซึ่งคาดจะนำเข้ามาผ่านสมาคมโรงพยาบาลเอกชน โดยมีองค์กรหลายกลุ่มให้ความสนใจและติดต่อเข้ามาจะทำให้ CHG มีรายได้เพิ่มขึ้นอีกทาง (โดยยังไม่รวมไว้ในประมาณการ) เบื้องต้นมีการปรับราคาพื้นฐานขึ้นเป็น 3.78 บาท ยังคงแนะนำ “ทยอยซื้อ ”