พาราสาวะถี

ปมวัคซีนยังคงตามหลอกหลอนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะไม่รู้จบ ล่าสุด เกิดเป็นประเด็นวิจารณ์กันสนั่นเมื่ออำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีได้รับการจัดสรรวัคซีนจำนวน 1 หลอดหรือคิดเป็นโดสคือ 10 โดส ถ้าเช่นนี้ถามว่าจะตอบโจทย์ที่รัฐบาลตั้งเป้าเร่งฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะเวลาอันรวดเร็วได้หรือไม่ รีบออกตัวทันที นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กรมมีหน้าที่จัดส่งวัคซีนไปให้แต่ละจังหวัดตามแผนที่จัดสรรโดยศบค.


อรชุน

ปมวัคซีนยังคงตามหลอกหลอนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะไม่รู้จบ ล่าสุด เกิดเป็นประเด็นวิจารณ์กันสนั่นเมื่ออำเภอสังขละบุรี จังหวัดกาญจนบุรีได้รับการจัดสรรวัคซีนจำนวน 1 หลอดหรือคิดเป็นโดสคือ 10 โดส ถ้าเช่นนี้ถามว่าจะตอบโจทย์ที่รัฐบาลตั้งเป้าเร่งฉีดเพื่อสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ในระยะเวลาอันรวดเร็วได้หรือไม่ รีบออกตัวทันที นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค กรมมีหน้าที่จัดส่งวัคซีนไปให้แต่ละจังหวัดตามแผนที่จัดสรรโดยศบค.

จากนั้นทางจังหวัดซึ่งมีผู้ว่าราชการจังหวัดในฐานะประธานคณะกรรมการโรคติดต่อจังหวัด จะดูแผนภาพรวมของจังหวัดนั้น ๆ ว่า จุดใดควรได้มากหรือน้อยอย่างไร จัดสรรไปตามสถานการณ์ของแต่ละจังหวัดเองดังนั้นแต่ละอำเภอได้วัคซีนเท่าไร ต้องสอบถามกับทางจังหวัด หรือผู้ว่าราชการจังหวัด ซึ่งส่วนกลางจะไม่ทราบแล้ว ทางที่ดีแทนที่จะต้องให้อธิบดีกรมควบคุมโรคต้องคอยออกมาแก้ต่างกันรายวัน ก็เปิดแผนการกระจายวัคซีนมาเสียให้ชัด ๆ ว่าเดือนมิถุนายนนี้สามารถจัดสรรให้ได้เท่าไหร่และมีวัคซีนอยู่ในมือจำนวนเท่าใด

การไม่ยอมพูดความจริงจะด้วยเหตุผลกลใดก็ตาม มันมีแต่จะสร้างความเสียหายและทำให้ความน่าเชื่อถือของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเรื่อย ๆ ขณะที่ยังมีปมค้างคาใจของประชาชนต่อความล้มเหลวในการบริหารจัดการวัคซีนของรัฐบาล อีกด้านในการอภิปรายร่างพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาทของ สาทิตย์ วงศ์หนองเตย ส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์ พรรคประชาธิปัตย์ มีการตั้งข้อสังเกตต่อการใช้เงินได้อย่างน่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง โดยจี้จุดการก่อหนี้รอบนี้ว่า เป็นหนี้ก้อนสุดท้ายก่อนชนเพดาน”

แต่นั่นยังไม่สำคัญเท่าสิ่งที่สาทิตย์ชี้ไปยังประเด็นที่เป็นปัญหาในการบริหารจัดการของรัฐบาลต่อสถานการณ์โควิด-19 นั่นก็คือวัคซีน โดยที่มีการเรียกร้องขอให้รัฐบาลทุมเทเรื่องวัคซีน จัดการกระจายให้ดี และอย่าเอาการเมืองมาบริหารวัคซีน อย่าเอาการเมืองนำการแพทย์ ต้องเอาการแพทย์นำการเมือง กรณีนี้เหมือนที่ย้ำมาตลอดว่าหมอต้องไม่ใช่หมอการเมือง มากกว่าไปนั้นจากข้อมูลของสาทิตย์ก็คือ ต้องไม่มีโควต้าพรรคการเมือง เอาคนไปฉีดวัคซีนจนชาวบ้านคนจนคนอื่นไม่ได้ฉีด และการซื้อขายคิวฉีดวัคซีนต้องไม่มี

วันนี้เรื่องพรรคการเมืองได้โควต้าไปฉีดวัคซีนหนาหูมาก และไม่ใช่พรรคการเมืองเดียวด้วย ตนไม่ทราบเรื่องนี้เท็จจริงอย่างไร แต่ประชาธิปัตย์ไม่มี รัฐบาลจะต้องสร้างความกระจ่างในเรื่องนี้ให้ชัดเจน อย่าเอาเรื่องวัคซีนไปทำฐานการเมือง แต่ต้องฉีดตามหลักระบาดวิทยา ใครต้องได้ก่อนได้ไป มันต้องไม่มีข่าวว่าโค้ดรุ่งเรือง ที่พูดกันอยู่ถึงปัจจุบัน จะต้องไม่มีข่าวว่าเอาวีไอพีบางคนไปฉีดก่อนคนจน การเปิดข้อมูลเช่นนี้ชัดเจนเหลือเกินว่าหมายถึงพรรคการเมืองใดบ้างในซีกรัฐบาล

ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการเสนอแนะเหมือนเป็นการตบหน้ากันไปในที ถ้าเราใช้เงินกู้นี้มาฉีดวัคซีนให้ชาวบ้านทั่วประเทศเพียงพอไม่จำเป็นเลยที่ต้องมีวัคซีนทางเลือก ถ้าวัคซีนหลักยังไม่พอแล้วมีวัคซีนทางเลือก “เรากำลังสร้างชนชั้น อภิสิทธิ์ชนขึ้นมาในประเทศนี้ซึ่งรัฐบาลไม่ควรทำ” เรียกได้ว่ายิงปืนนัดเดียวทำเอาพวกร่วงกระจาย เพราะนี่คือจุดอ่อนหรืออาจจะพูดได้เสียด้วยซ้ำไปว่าเป็นจุดดับของรัฐบาล และหากมองหาผู้รับผิดชอบการที่สาทิตย์ชี้นิ้วไปเช่นนี้ ก็เท่ากับว่าประชาธิปัตย์ไม่เกี่ยวเป็นเรื่องของผู้นำกับพรรคร่วมรัฐบาลอีกสองพรรคชัดเจน

บอกแล้วว่าการเมืองสไตล์นี้ไม่มีใครลอกเลียนแบบได้ แต่หากจะควานหาความล้มเหลวจากการแก้ไขสถานการณ์โควิด-19 และการบริหารจัดการวัคซีน เมื่อพรรคเก่าแก่ไม่ร่วมรับผิด และผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจก็ออกมาขอโทษแม้ว่ามันไม่ได้ช่วยเยียวยาความรู้สึกของประชาชนส่วนใหญ่ที่เสียไปก็ตาม ทว่าก็พอจะทำให้เห็นแล้วว่า ท้ายที่สุดเมื่อต้องหาแพะบูชายัญที่จะตกเป็นเป้าหนักสุดย่อมหนีไม่พ้น อนุทิน ชาญวีรกูล และพรรคภูมิใจไทย

โดยที่พรรคสืบทอดอำนาจก็พยายามที่จะยัดเยียดให้เป็นเช่นนั้น เห็นได้จากการอภิปรายของ วทันยา วงษ์โอภาสี หรือมาดามเดียร์ จากกลุ่มดาวฤกษ์คู่กรณีของพรรคภูมิใจไทยโดยตรงต่อร่างพ.ร.ก.กู้เงิน 5 แสนล้านบาท ที่มีการย้อนความไปถึงพ.ร.ก.เงินกู้ 1 ล้านล้านบาท โดยระบุตรวจสอบตัวเลขจากกรมบัญชีกลาง เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคมที่ผ่านมา ถึงการใช้จ่ายเงินด้านสาธารณสุขจำนวน 4.5 หมื่นล้านบาทจากพ.ร.ก.กู้เงินดังกล่าว พบว่า มีวงเงินที่อนุมัติไปแล้ว 2.5 หมื่นล้านบาท แต่มีการเบิกใช้จ่ายไปแล้วแค่ 7 พันกว่าล้านบาท

ที่สำคัญในจำนวนเงิน 4.5 หมื่นล้านบาทนั้น เป็นเงินที่ถูกนำไปใช้จัดสรรวัคซีนแค่ 2.7 พันล้านบาทเท่านั้น แต่หลังจากวันที่ 5 พฤษภาคมจนถึงวันที่ 8 มิถุนายน พบว่าวงเงินด้านสาธารณสุข 4.5 หมื่นล้านบาทเหลือเม็ดเงินอยู่แค่ 236 ล้านบาท หรืออนุมัติวงเงินไปแล้ว 99 เปอร์เซ็นต์ คำถามคือ ช่วงเวลาที่ผ่านมากระทรวงสาธารณสุขเตรียมความพร้อมให้คนไทยอย่างไรในการใช้เงินไปแค่ 57 เปอร์เซ็นต์ แต่หลังจากเกิดเหตุการณ์ระบาดระลอกสามไป 33วัน กลับมีโครงการขออนุมัติได้ถึง 1.9 หมื่นล้านบาท

การยกประเด็นนี้ขึ้นมา มาดามเดียร์ชี้ว่าแสดงให้เห็นถึงการใช้งบล่าช้าแล้วมาเร่งเอาภายหลังในวันที่สถานการณ์ลุกลามบานปลาย ไม่มีคาดการณ์หรือวางแผนประเมินความเสี่ยงอย่างรอบคอบ เรียกว่าตบหน้ากันกลางสภาทีเดียว อย่างไรก็ตาม กรวีร์ ปริศนานันทกุล ส.ส.อ่างทองของภูมิใจไทย ก็อภิปรายไม่ไว้หน้าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเช่นกัน ด้วยประโยคเด็ดที่ว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติการกู้เงินในนาทีนี้ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด สิ่งสำคัญกว่านั้นคือ ต้องกู้หน้านายกฯ และรัฐบาล”

ไม่ว่าจะมีการอภิปรายกันไปในทิศทางใด แต่ปลายทางก็เชื่อว่าร่างพ.ร.ก.กู้เงินฉบับนี้ต้องได้รับการโหวตผ่านอย่างแน่นอน เพียงแต่ว่าสิ่งที่เป็นภาพสะท้อนความร้าวฉานภายในพรรคร่วมรัฐบาลมันจะนำไปสู่ความแตกแยกในระยะยาวหรือไม่ การส่งสัญญาณเรื่องไทม์ไลน์ทำงานของรัฐบาลในห้วงเวลา 1 ปีของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่มองกันว่าน่าจะเป็นการกระทืบเท้าขู่เพื่อให้ผ่านร่างพ.ร.ก.เงินกู้ อาจจะไม่ได้จบเพียงแค่นั้นน่าจะหมายถึงการส่งซิกถ้ายังหาจุดลงตัวกันไม่ได้ก็ต้องไปกันก่อนเวลาอันควร

Back to top button