TU มั่นใจทั้งปีผลงานโตต่อ รับโควิดคลาย! ทุ่ม 6.5 พันลบ. ลงทุนธุรกิจมาร์จิ้นสูง

TU มั่นใจทั้งปีผลงานโตต่อ รับโควิดคลาย! ทุ่ม 6.5 พันลบ. ลงทุนธุรกิจมาร์จิ้นสูง-รักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนต่อไป


นางสาวเกวลี ทองสมอางค์ หัวหน้าฝ่ายนักลงทุนสัมพันธ์ บริษัท ไทยยูเนี่ยน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ TU นำเสนอข้อมูลแผนธุรกิจและแนวโน้มผลประกอบการไตรมาส 2/2564 และปี 2564 รวมทั้งแผนธุรกิจในอนาคตในงานบริษัทจดทะเบียนพบผู้ลงทุน (Opportunity Day) จัดโดยตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ในวันที่ 11 มิ.ย.2564

โดยแนวโน้มผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 คาดยังเห็นการเติบโตต่อเนื่องจากไตรมาส 1/2564 ส่วนในช่วงครึ่งปีหลัง 2564 จะเห็นการเติบโตขึ้นจากครึ่งปีแรก 2564 หลังจากสถานการณ์แพร่ระบาดโควิด-19 ในต่างประเทศคลี่คลายลง โดยเฉพาะในสหรัฐฯและยุโรปเริ่มกลับมาเปิดเมืองแล้ว หลังจากที่มีการฉีดวัคซีนให้กับประชาชนเป็นจำนวนมาก ทำให้ส่งผลบวกต่อธุรกิจของบริษัททั้งในส่วนของธุรกิจอาหารแช่แข็ง ธุรกิจอาหารสัตว์ และธุรกินร้านอาหารทะเล Red Lobster เริ่มเห็นการฟื้นตัวกลับมาดีขึ้นตั้งแต่ต้นไตรมาส 2/64 เป็นต้นมา และคาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวขึ้นอย่างต่อเนื่องในครึ่งปีหลัง หลังจากหลายประเทศเดินหน้าเร่งฉีดวัคซีนโควิด-19 และมีโอกาสเปิดเมืองได้อย่างเต็มที่มากขึ้น

ดังนั้น บริษัทจึงมั่นใจว่ายอดขายในปี 2564 ยังคงสามารถทำได้ตามเป้าหมายเติบโต 3-5% จากปีก่อน และมีอัตรากำไรขั้นต้นอยู่ที่ 17% ซึ่งการรักษาอัตรากำไรขั้นต้นให้เป็นไปตามเป้าหมายได้นั้น จะต้องมีการเน้นการขายสินค้าที่ให้มาร์จิ้นสูงเข้ามาช่วยผลักดันอัตรากำไรขั้นต้น อย่างเช่น สินค้านวัตกรรมในกลุ่มอาหารสัตว์ที่มีให้มาร์จิ้นในระดับสูง รวมถึงการควบคุมต้นทุนต่างๆอย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเป็นไปตามเป้าหมาย

ส่วนแผนงานในปี 2564 ตั้งงบในการลงทุนประมาณ 6,000-6,500 ล้านบาท โดยหลักๆ 3 โครงการ คือ โรงงาน Culinary project, โรงงานผลิตโปรตีนไฮโดรไลเสท (Protein hydrolysate ) คอลลาเจนเปปไทด์ในสมุทรสาคร,และสร้างห้องเย็นที่ประเทศกาน่า ขณะที่ปัจจัยหลักที่ต้องติดตามในปีนี้คือการเคลื่อนไหวของอัตราแลกเปลี่ยนภาวะการขาดแคลนของตู้คอนเทนเนอร์และการระบาดของโรคโควิด-19

สำหรับแผนธุรกิจในช่วงปี 5 หรือภายในปี 2568 เพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่งในธุรกิจหลัก บริมีโปรแกรมบริหารจัดการต้นทุนให้มีประสิทธิภาพ ซึ่งขณะนี้กำลังทำธุรกิจแบรนด์อยู่ในยุโรปเป็นหลัก ซึ่งเป็นการปรับปรุงกระบวนการผลิตเป็นแผนต่อเนื่องตั้งแต่ 2563 จนถึงสามปี และมีการสร้างโรงงานที่เรียกได้ว่า Culinary project  ซึ่งเป็นการรวมโรงงานที่ผลิตมาหลายปีมาแล้วส่วนใหญ่เป็นโรงงานของธุรกิจแช่แข็ง ซึ่งได้รวม 3 โรงงานมาสร้างโรงงานใหม่ที่เป็นระบบ Automation & Ready-to-eat  ตรงนี้ก็จะช่วยเพิ่มกำลังผลิตลดต้นทุน แล้วก็ขยายฐานลูกค้าอีกด้วย

นอกจากนี้ยังมุ่งเน้นไปที่ธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูงในปีนี้ได้เริ่มหลายๆ โครงการไปแล้ว อันแรกคือ ผงแคลเซียมจากกระดูกปลาทูน่าที่โรงงานสงขลา (Songkla Canning)  เริ่มดำเนินงานแล้ว และโรงกลั่นน้ำมันปลาทูน่าบริสุทธิ์ที่เยอรมนีอันนี้ก็เริ่มดำเนินงานแล้วตั้งแต่เดือนมีนาคม-เมษายนที่ผ่านมา และธุรกิจโปรตีนจากพืชตอนนี้เริ่มทำ OEM และเริ่มทำแบรนด์แล้วในเมืองไทย นอกจากนี้กำลังก่อตั้งโรงงาน Protein hydrolysates & Collagen peptide ซึ่งจะแล้วเสร็จในปี 2565 ซึ่งเป็นอีกโปรเจคที่คิดว่าจะสามารถทำกำไรสูง

ทั้งหมดนี้บริษัทตั้งเป้ามีสัดส่วนรายได้จากกลุ่มสินค้านวัตกรรมที่มีมาร์จิ้นสูงกว่า 20% เพิ่มเป็น 10% ของรายได้รวม เพื่อทำให้กำไรจากการดำเนินงานก่อนหักภาษี และค่าเสื่อมราคา (EBITDA) เพิ่มเป็น 450-550 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ภายในปี 68

นอกจากนี้ในปี 2568 บริษัทจะยังคงมุ่งเน้นในการดำเนินธุรกิจภาย Healthy Living Healthy Oceans 6 โดยจะเพิ่มประสิทธิภาพของธุรกิจหลักของบริษัทให้แข็งแกร่งมากขึ้น และจะมุ่งเน้นการลงทุนในธุรกิจที่มีการเติบโตที่สูงและจะยังรักษาความเป็นผู้นำด้านความยั่งยืนต่อไป

Back to top button