พาราสาวะถี
เมื่อหนีไม่ออกเล่นเอาล่อเอาเถิดเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้อีก ศบค.จึงต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกทม. ต่อกรณีมีการเลื่อนฉีควัคซีนโควิด-19 กันอุตลุด สร้างความหงุดหงิดไม่พอใจต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศปก.ศบค.ยอมรับ เกิดความคลาดเคลื่อนวัคซีนไม่ได้เข้ามาตามแผนก็ต้องปรับแผน ดังนั้น จึงมีการเลื่อนออกไปบ้าง จึงต้องกราบขออภัยประชาชน
เมื่อหนีไม่ออกเล่นเอาล่อเอาเถิดเหมือนที่ผ่านมาไม่ได้อีก ศบค.จึงต้องตั้งโต๊ะแถลงข่าวร่วมกับกระทรวงสาธารณสุขและกทม. ต่อกรณีมีการเลื่อนฉีควัคซีนโควิด-19 กันอุตลุด สร้างความหงุดหงิดไม่พอใจต่อประชาชนเป็นอย่างยิ่ง สิ่งที่ พลเอกณัฐพล นาคพาณิชย์ เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ในฐานะผู้อำนวยการศปก.ศบค.ยอมรับ เกิดความคลาดเคลื่อนวัคซีนไม่ได้เข้ามาตามแผนก็ต้องปรับแผน ดังนั้น จึงมีการเลื่อนออกไปบ้าง จึงต้องกราบขออภัยประชาชน
เหมือนจะเป็นการรับผิดแต่ไม่ใช่ มันเป็นเพียงแค่การแก้ตัวและขอความเห็นใจจากประชาชน เพราะยังคงอธิบายต่ออีกว่า ภาพรวมยังเป็นไปตามกำหนดการคือภายในเดือนมิถุนายนฉีดวัคซีน 6 ล้านโดส ยังเป็นไปตามนั้น ขณะนี้ยังอยู่ในกรอบเดือนมิถุนายนไม่ได้ผิดเงื่อนไข โดยแม้มีการเลื่อนไปบ้างแต่คนที่ถูกเลื่อนไปจะได้รับการฉีดเป็นลำดับแรก ๆ การใช้วิธีการศรีธนญชัยส่งมอบอยู่ในกรอบเดือนมิถุนายน แต่การฉีดให้ประชาชนเป็นไปตามแผนหรือไม่ นี่คือคำถามสำคัญ
อย่าลืมเป็นอันขาดว่าวัคซีนแอสตร้าเซเนกาตามสัญญาที่มีการวางกรอบในการส่งมอบไว้อย่างกว้างนั้น ทางบริษัทก็สามารถเลื่อนไหลได้ตลอด เหมือนกรณีวัคซีน 1.5 ล้านโดสที่จะส่งมอบในวันที่ 14 มิถุนายน ก็ช้ากว่านัดหมายไปอย่างน้อย 2 วันหรือจะมากกว่านั้น และอีก 1.5 ล้านโดสที่จะส่งมอบในวันที่ 28 มิถุนายน เชื่อว่าจะเป็นไปตามนั้นได้อย่างไร และถ้ามาตรงเวลากว่าจะผ่านกระบวนการและนำไปฉีดให้ประชาชนก็ต้องใช้เวลาอีก มันก็จะต้องเกิดการเลื่อนเป็นงูกินหางกันไปอย่างนี้
ต้องยอมรับความจริงกันเสียทีว่า การบริหารจัดการวัคซีนนั้นผิดพลาดล้มเหลว กรณีนี้ถูกตอกย้ำโดยคนในพรรคแกนนำรัฐบาลเองอย่าง “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ที่พูดถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า หากเราวางแผนการทำงานโดยคาดการณ์ล่วงหน้า โดยใช้อาวุธเงินกู้จำนวน 45,000 ล้าน ที่ได้รับจัดสรรเพื่อให้นำมาแก้ปัญหาด้านสาธารณสุข โดยเฉพาะให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่ชะล่าใจกอดความสำเร็จที่เป็นเพียงอดีตเอาไว้ ปัญหาการขาดแคลนวัคซีนที่มีชีวิตประชาชนเป็นตัวประกันก็คงจะไม่เกิดขึ้นเหมือนที่กำลังเกิดในเวลานี้
วันนี้ประชาชนต้องมาลุ้นฉีดวัคซีนของตัวเองจะถูกเลื่อนออกไปหรือไม่ ต้องถูกเลื่อนออกไปอีกนานเท่าไหร่ ไม่มีคำตอบที่ชัดเจนใด ๆ โรงพยาบาลและเจ้าหน้าที่ต้องเป็นด่านหน้ารองรับอารมณ์ความผิดหวังของประชาชน ทั้งที่ไม่ใช่ความผิดของคนเหล่านั้น ในขณะที่หน่วยงานของรัฐออกมากดดันปิดปากภาคเอกชน โยนความผิดให้กันและกัน แทนที่จะสร้างความเข้าใจที่ถูกต้องและเร่งแก้ไขปัญหาอย่างตรงไปตรงมา ไม่ใช่เกิดกรณีขอให้ฉีดช้า ๆ เพื่อให้ได้ฉีดทุกวัน หรือห้ามประกาศเลื่อนโฉ่งฉ่าง ถ้าเลื่อนให้เงียบ ๆ รวมทั้งห้ามพูดห้ามให้ข่าวออกสื่อ
นี่คือวิธีการบริหารจัดการของเผด็จการสืบทอดอำนาจคือ พยายามสร้างปฏิบัติการข่าวสารเพื่อกลบความผิดพลาดล้มเหลวของตัวเอง สิ่งที่ผู้อำนวยการศปก.ศบค.ซึ่งเป็นที่รู้กันดีว่าเป็นน้องรักของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ และเป็นมือทำงานด้านยุทธการและการวางแผนให้กับท่านผู้นำมาตั้งแต่เป็นผู้บัญชาการทหารบกจนถึงการรัฐประหาร 22 พฤษภาคม 2557 อ้างว่า “ไม่มีวัคซีนการเมือง ทุกอย่างตามกรอบนโยบายศบค. ไม่มีประเด็นการเมือง” จึงเป็นเรื่องที่ไม่มีใครเชื่อ
การออกมาพูดของมาดามเดียร์คือการเมืองเต็ม ๆ เพราะมุ่งกระแทกหมัดไปที่ความผิดพลาดในการใช้งบประมาณเงินกู้ 45,000 ล้านบาทของกระทรวงสาธารณสุขที่บริหารงานหลักโดยพรรคภูมิใจไทย ที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับกลุ่มดาวฤกษ์ของพรรคสืบทอดอำนาจ ขณะเดียวกันการยิงปืนนัดเดียวของส.ส.หญิงรายนี้ ก็หวังประโยชน์สองเด้ง ทั้งดิสเครดิตคนที่ไม่ชอบขี้หน้าหรือมีปัญหาต่อกัน กับการรักษาคะแนนนิยมของพรรคพวกในสังกัด ที่เป็นส.ส.ในกทม.ทั้งหมด
ไม่ได้มีเพียงแค่ความเห็นของมาดามเดียร์เท่านั้น ที่เป็นภาพสะท้อนของความพยายามในการปกป้องฐานเสียงเมืองหลวงของพรรคสืบทอดอำนาจ การตั้งโต๊ะแถลงของ พัชรินทร์ ซำศิริพงษ์ ภายใต้หัวโขนโฆษกคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข สภาผู้แทนราษฎร ที่ระบุจะเชิญศบค. ปลัดกระทรวงสาธารณสุขและผู้ว่าฯ กทม.มาชี้แจงต่อคณะกรรมาธิการในวันที่ 17 มิถุนายนนี้ในประเด็นปัญหาการจัดสรรและกระจายวัคซีนในพื้นที่กทม. ก็ชัดเจนว่าพรรคแกนนำรัฐบาลหวั่นไหวต่อสิ่งที่เกิดขึ้นขนาดไหน
ต้องไม่ลืมว่าพัชรินทร์ไม่ได้มีแค่หัวโขนโฆษกคณะกรรมาธิการชุดดังว่าเท่านั้น หากแต่ยังเป็นโฆษกพรรคสืบทอดอำนาจ และเป็นส.ส.กทม.เขต 2 ของพรรคด้วย ดังนั้น สิ่งที่เกิดขึ้นกับคนกรุงเทพฯ ย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อคะแนนเสียงที่จะเกิดขึ้นในการเลือกตั้งครั้งต่อไป ยืนยันได้จากสิ่งที่ส.ส.รายนี้พูดก็คือ สิ่งทีเกิดขึ้นส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นด้านสุขภาพของประชาชนและการบริหารจัดการของหน่วยงานรัฐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกทม.ที่พบว่าการจัดสรรและการกระจายวัคซีนไม่เป็นไปตามแผนการจัดสรรวัคซีนของกระทรวงสาธารณสุข
เมื่อเกิดปัญหาอันมาจากข้อผิดพลาดในการบริหารจัดการ ไม่เพียงแต่จะสร้างความไม่พอใจจากประชาชนจำนวนมากเท่านั้น หากแต่มันยังย้อนกลับไปยังวิสัยทัศน์ของคนที่เป็นผู้นำประเทศด้วย การรวบอำนาจทุกอย่างมาไว้ในมือ มันต้องแสดงให้เห็นถึงศักยภาพในการคิด การบริหารจัดการ ไม่ใช่เอาแต่ท่องคาถามั่นคง มั่งคั่ง ยั่งยืน ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง ขณะที่ความเป็นจริงคือประเทศไทยกำลังไล่ตามหลังหลายประเทศในอาเซียนแทบจะทุกด้าน ถ้าจะพูดให้ชัดคือ 7 ปีที่ผ่านมาถือเป็นยุคตกต่ำของประเทศโดยแท้
จะมีแต่ก็พวกกองเชียร์ชนิดไม่ลืมหูลืมตาเท่านั้น ที่มองเห็นความสามารถอันปราดเปรื่องของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและองคาพยพร่วมขบวนการ ส่วนนักการเมืองไม่ต้องพูดถึงยิ่งพวกที่สมสู่กับอำนาจสืบทอด กรณีของรัฐธรรมนูญที่เป็นปัญหาเป็นภาพสะท้อนอย่างชัดเจนว่าพวกที่ได้ประโยชน์ก็เลือกที่จะอ้างสารพัดต่อกระบวนการแก้ไข เช่น บัตรเลือกตั้งใบเดียว บางพรรคการเมืองที่ไม่เคยได้ส.ส.มากขนาดนี้มาก่อน ก็ยกเหตุผลร้อยแปดมาสนับสนุน มันจึงขึ้นอยู่กับประชาชนว่าจะตื่นรู้และช่วยกันลงโทษคนเหล่านี้ให้หลาบจำกันหรือไม่