ย่ำฐาน
* การทิ้งตัวลงหนักของดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนก่อนคือตัวแปรสำคัญที่ย้ำว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อตั้งความหวังไว้มาก..ก็ต้องผิดหวังมากเป็นธรรมดา “โมนิก้า” ถึงรู้สึกเฉย ๆ ต่อท่าทีของเฟดในการประกาศขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด เพราะที่ผ่านมาก็ชอบทำอะไรที่เหนือคาดหมายเป็นประจำ (เหมือนกรมสรรพสามิตภายใต้บังเหียน “ลวรณ” ล่อซื้อน้ำส้มคั้น มันทำได้เหรอพี่) จึงอยากให้แฟนคลับเข้าใจเกมการเงินของพญาอินทรีด้วยนะคะ
* การทิ้งตัวลงหนักของดัชนีดาวโจนส์เมื่อคืนก่อนคือตัวแปรสำคัญที่ย้ำว่า ทุกสรรพสิ่งในโลกไม่มีอะไรแน่นอน เมื่อตั้งความหวังไว้มาก..ก็ต้องผิดหวังมากเป็นธรรมดา “โมนิก้า” ถึงรู้สึกเฉย ๆ ต่อท่าทีของเฟดในการประกาศขึ้นดอกเบี้ยเร็วกว่ากำหนด เพราะที่ผ่านมาก็ชอบทำอะไรที่เหนือคาดหมายเป็นประจำ (เหมือนกรมสรรพสามิตภายใต้บังเหียน “ลวรณ” ล่อซื้อน้ำส้มคั้น มันทำได้เหรอพี่) จึงอยากให้แฟนคลับเข้าใจเกมการเงินของพญาอินทรีด้วยนะคะ
* ประเด็นข้างต้นเหมือนกับเรื่องที่ “โมนิก้า” เม้าท์ให้ฟังเมื่อวันก่อนว่า ฝรั่งหัวทองไม่ได้มีฤทธิ์เดชเหมือน ปีก่อน ๆ ผสานกับมุมมองที่มีต่อหุ้นไทยก็ดีขึ้นกว่าเมื่อก่อน จึงไม่มีความจำเป็นต้องลดพอร์ตหนัก ๆ อย่างต่อเนื่อง (ขายบ้างซื้อบ้าง) ซึ่งเป็นอีกหนึ่งตัวแปรที่ทำให้วานนี้ดัชนีแกว่งตัวออกด้านข้าง ก่อนจะทิ้งตัวลงมาปิดที่ระดับ 1,617.65 จุด ลบไป 7.14 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 8.80 หมื่นล้านบาทไงล่ะตัวเอง
* ยิ่งมีเกมเดินพันแบบได้เสียทั้งประเทศ หลังหัวเรือใหญ่อย่าง “บิ๊กตู่” ประกาศกร้าว 120 วัน ต้องเดินหน้าเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวนั้น กลายเป็นช็อตที่ทำให้ทุกคนรู้สึกมีความหวังขึ้นมาอีกครั้ง แต่ในขณะเดียวกันก็แลกมาด้วยความเสี่ยงในการระบาดรอบใหม่ ส่งผลให้ทุกสายตาจับจ้องไปที่แผนฉีดวัคซีนเป็นไปตามเป้าขนาดไหน? แถมฟิลลิ่งของผู้คนตอนนี้มันได้สุด ๆ แต่เมื่อถึงเวลาจริง ๆ แฮปปี้ไหม?..ยังเป็นคำถามคาใจเจ้าค่ะ
* ด้วยสถานการณ์ดังกล่าวทำให้มิตรรักแฟนเพลงทั้งหลายแหล่ ยังมีลักษณะอาการ “หายกลัว..แต่ยังไม่กล้า” เพราะหุ้นขนาดใหญ่เด้งรับข่าวดีไปเยอะแล้ว ส่งผลให้การขึ้นต่อยาว ๆ ต้องลุ้นข่าวดีที่จะเข้ามาในภายภาคหน้าเป็นหลัก “โมนิก้า” ถึงเชื่อเหลือเกินว่า ตลาดหุ้นไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการย่ำฐานเพื่อรอเวลาขึ้นต่อ ซึ่งจะเป็นห้วงเวลาที่นักลงทุนได้ไตร่ตรองข้อมูลต่าง ๆ อีกรอบไงล่ะคะ
* เช่นเดียวกับการขึ้นต่อเนื่องของหุ้นถ่านหิน BANPU ก็มาจากความคาดหวังกำไรไตรมาส 2 จะออกมาดี ซึ่งถูกตอกย้ำด้วยกำไรไตรมาส 1 มาตามนัด จึงไม่แปลกที่หุ้นจะขยับก้นขึ้นไปเรื่อย ๆ จนวานนี้ขึ้นมาปิดที่ 16 บาท บวกไป 0.70 บาท หรือขึ้นไป 4.60% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.42 พันล้านบาท เพราะปัจจัยต่าง ๆ มันทำให้เชื่อว่า ผลงานปีนี้จะเทิร์นอะราวด์เต็มตัว ส่วนจะเป็นไปตามที่มองไว้ขนาดไหน? คงต้องติดตามดูตอนต่อไปพะยะค่ะ
* ส่วนรายที่กระฉูดจนเสียวไส้ “โมนิก้า” คงมองไปที่หุ้นสายการบิน AAV แบบไม่ลังเลใจ เพราะการเล่นเที่ยวนี้มีลักษณะ “เอามัน” มากกว่าตั้งอยู่บนความจริง (กำไรก็ยังไม่มา ดันไล่หุ้นดุเดือด) เดี๊ยนจึงต้องปล่อยไปเลยตามเลย เพราะไม่อยากขวางทางสุขของคนเล่น หลังเห็นหุ้นขึ้นมาปิดที่ 3.10 บาท บวกไป 0.30 บาท หรือขึ้นไป 10.70% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 2.34 พันล้านบาท พร้อมกับปรากฏอาการโลกสวยกันเป็นแถวน่ะสิ
* เมื่อมาในแนวโลกนี้เป็นสีชมพูกันทั้งที ก็ต้องมีหุ้นโลกนี้เป็นสีเขียวอย่าง BWG อยู่ร่วมโลกด้วยอย่างแน่นอน เพราะการขึ้นมายืนปิดที่ระดับ 0.86 บาท บวกไป 0.06 บาท หรือขึ้นไป 7.50% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 865 ล้านบาท ก็มาจากสตอรี่ที่คล้ายกับรายข้างต้น “โมนิก้า” จึงอยากให้นักเล่นที่ชอบวัดความไว จับตาดูหุ้นตัวนี้มากเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นสงครามวันเดียวเหมือนที่เคยเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ไงล่ะคะ
* สถานการณ์ดังกล่าวทำให้ “โมนิก้า” ต้องเอียงคอหันมาดูหุ้น SIMAT เพื่อรื้อฟื้นอดีตอันขมขื่นกันสักหน่อย เพราะการขึ้นของหุ้นไม่เคยอิงกับพื้นฐานเลยสักครั้ง ยิ่งเห็นหุ้นขึ้นมายืนปิดที่ 6.25 บาท บวกไป 0.25 บาท หรือขึ้นไป 4.20% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 233 ล้านบาท ยิ่งหนุนค่า PE ขึ้นไปแตะระดับ 130 เท่า เร็วขึ้นเท่านั้น..มันไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับคนที่เน้นลงทุนสไตล์คุณค่าเลยนะคะ
* เช่นเดียวกับในรายของ MORE มีการไล่ราคากันเป็นบ้าเป็นหลัง จนขึ้นมายืนปิดที่ 1.35 บาท บวกไป 0.11 บาท หรือขึ้นไป 8.90% ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 284 ล้านบาท มันไม่มีอะไรที่ทำให้เชื่อว่า หุ้นตัวนี้จะรุ่งถาวร! ผสานกับความแสบสันที่ก่อไว้ในอดีตยังตามหลอกหลอนไม่เลิก จึงอยากให้ขาลุยพึงสังวรณ์เรื่องนี้ให้มาก ๆ หากคราวนี้บาดเจ็บขึ้นมา คงไม่มีใครคอยซับน้ำตา เพราะมันเป็นวิถีของคนชอบเสี่ยงเจ้าค่ะ