เปิด 4 กลุ่มหุ้นรับผลกระทบคุมเข้มโควิด ”กทม.-ปริมณฑล” ชี้ร้านอาหาร-รับเหมาฯ อ่วมสุด!
เปิด 4 กลุ่มหุ้นรับผลกระทบคุมเข้มโควิด ”กทม.-ปริมณฑล” ชี้ร้านอาหาร-รับเหมาฯ อ่วมสุด! รองลงมาอสังหาริมทรัพ-โรงแรม
“ข่าวหุ้นธุรกิจออนไลน์” ทำการรวบรวมข้อมูลกลุ่มหุ้นที่คาดว่าจะได้รับผลกระทบจากมาตรการควบคุมการแพร่ระบาดโควิด-19 ในพื้นที่ กทม.และปริมณฑล โดยครั้งนี้ได้ทำการรวบนวมข้อมูลจากบริษัทหลักทรัพย์ โนมูระ พัฒนสิน จำกัด (มหาชน) ซึ่งได้ระบุข้อมูลดังนี้
ฝ่าย IRIS มีมุมมองเชิงลบต่อคำสั่งยกระดับการควบคุมพื้นที่กทม.และปริมณฑล โดยสาระสำคัญ 3 เรื่องอยู่ที่ 1) คำสั่งปิดแคมป์คนงานและหยุดการก่อสร้าง,2) ห้ามนั่งทานในร้าน โดยจำหน่ายได้เฉพาะซื้อกลับบ้านเท่านั้น และ 3) งดกิจกรรมจัดการประชุม การสัมมนา และการจัดเลี้ยง เว้นแต่ได้รับอนุญาต
ทั้งนี้คาดมาตรการดังกล่าวสร้างผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของผู้ประกอบการ 4 กลุ่ม โดยสูงสุด คือ i) กลุ่มร้านอาหาร และ ii) กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง รองลงมาคือ iii) กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ และ iv) กลุ่มโรงแรม
ในขณะที่กลุ่มผู้ประกอบการอื่นส่วนใหญ่จะได้รับผลกระทบทางอ้อมผ่านความกังวลต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจและสังคมที่อาจจะลดลง
ทั้งนี้ ปัจจัยที่ต้องติดตามคือความคืบหน้าในการกระจายวัคซีนและความคืบหน้าในการคลาย Lockdown รวมทั้ง การเปิดประเทศ โดยเบื้องต้น ทาง IRIS ยังคงคาดจะมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปเริ่มที่พื้นที่กทม.และจังหวัดท่องเที่ยวก่อนใน ครึ่งปีหลัง ดังนั้น หากเกิดความล่าช้าในประเด็นข้างต้นก็มีผลต่อการเกิด downside ต่อผลประกอบการในกลุ่มอื่นๆได้เพิ่มเติม
กลุ่มร้านอาหาร
มีมุมมอง Negative ต่อคำสั่งห้ามรับประทานอาหารที่ร้านในพื้นที่กรุงเทพและปริมณฑล ให้ซื้อกลับบ้าน 100% เบื้องต้นเป็นเวลา 30 วัน เริ่มวันที่ 28 มิ.ย. 21 เป็นต้นไป โดยมองว่าจะกระทบกับ AU มากที่สุดเนื่องจากมีสัดส่วนรายได้จากกรุงเทพและปริมณฑลสูงที่สุดราวๆ 80-85% (Vs. M: 50-60% และ ZEN: 60-70%)
ในเบื้องต้นมองว่ามาตรการดังกล่าวจะส่งผลให้ผลประกอบการของกลุ่มร้านอาหารในช่วงไตรมาส 3/2564 (ปิดหน้าร้าน 27 วัน ในกรุงเทพและปริมณฑล) มีโอกาสที่จะขาดทุนใกล้เคียงกับช่วง ไตรมาส 2/2564 (ปิดหน้าร้าน 19 วัน + จำกัดการนั่ง 25% 35 วัน ในกรุงเทพและปริมณฑล) แต่ไม่รุนแรงเท่าช่วง ไตรมาส 2/2563 เนื่องจากในช่วง ไตรมาส 2/2563 (ปิดหน้าร้าน 46 วัน ทั่วประเทศ) ทั้งนี้ประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ของจะมี Downside จากแนวโน้มประกอบการ ไตรมาส 2/2564 ที่ตํ่ากว่าคาดเดิม และแนวโน้มไตรมาส 3/2564 ที่มีโอกาสขาดทุน (เดิมมองเป็นกำไร)
แนวโน้มไตรมาส 2/2564 ของกลุ่มร้านอาหารคาดว่าจะขาดทุนสุทธิ แต่ไม่น่าขาดทุนมากเท่าช่วง ไตรมาส 2/2563 แม้รายได้จะฟื้นตัวจากฐานตํ่าในปี ไตรมาส 2/2563 แต่ไม่สามารถลดต้นทุนคงที่ได้ดีเท่ากับช่วง ไตรมาส 2/2563
คงคำแนะนำ Neutral สำหรับกลุ่มร้านอาหาร (ไม่มี Top pick) เนื่องจากสถานการณ์ COVID-19 ที่รุนแรงขึ้นต่อเนื่องทำให้ประมาณการกำไรสุทธิปี2564 ของมี Downside และมีความเสี่ยงจัดส่งวัคซีนที่ล่าช้า รวมทั้งความไม่แน่นอนของการเปิดประเทศ โดยเฉพาะจากประเทศต้นทาง
จึงคงคำแนะนำ หลีกเลี่ยงกลุ่มร้านอาหาร รอความชัดเจนจากการควบคุม COVID-19 ระลอก 3 การฉีดวัคซีนที่เป็นไปตามแผน และความสำเร็จของ Phuket Sandbox ก่อนเข้าลงทุนหุ้นในกลุ่มร้านอาหาร เพื่อหวังการฟื้นตัวของกำไรสุทธิปี 22F จากฐานตํ่าในปีนี
กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง
มอง Negative ต่อการประกาศปิดสถานที่ก่อสร้าง พื้นที่ดำเนินการก่อสร้าง หรือสถานที่พักชั่วคราวสำหรับคนงานทั้งภายในและภายนอกสถานที่ก่อสร้าง เพราะ 1) คาดกระทบกำไรกลุ่มรับเหมาฯ ในไตรมาส 3/2564 จากการรับรู้รายได้เลื่อนออกไป และมีค่าใช้จ่ายคนงานเพิ่ม (อ้างอิงจากข่าว รัฐชดเชยค่าแรงให้ 50% และขยายเวลาก่อสร้างให้ตามระยะเวลามาตรการควบคุมดังกล่าว) 2) อาจส่งผลกระทบต่อเนื่องหลังมาตรการควบคุมจากต้องใช้ระยะเวลาในการรวบรวมแรงงาน และ 3) อาจสร้างความกังวลต่อเนื่องถึงการเลื่อนลงนามฯ/เปิดประมูลงานรัฐออกไปชั่วคราว (ภาครัฐอาจเลื่อนการประมูล/ลงนามสัญญาฯ เพื่อไม่ให้กระทบกับกำหนดส่งมอบงาน เป็นต้น)
ทั้งนี้คาด CK ที่พึ่งพิงการได้งานใหม่ และฐานกำไรตํ่ากว่ากลุ่ม จะได้รับผลกระทบในด้านของกำไรมากที่สุด รองลงมาเป็น STEC และ PYLON ส่วน BJCHI และ STPI ไม่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากงานในมือทั้งหมดก่อสร้างนอกพื้นที่กรุงเทพฯและปริมณฑล
คงคำแนะนา Bullish กลุ่มรับเหมาฯ ในภาพระยะยาว แต่ระยะสั้นหลีกเลี่ยงการลงทุนไปก่อน ในระยะสั้นให้ชะลอการลงทุนไปก่อนจากผลกระทบของมาตรการควบคุม COVID-19 ที่จะบังคับใช้ในช่วง ก.ค. 21 กระทบกลุ่มอย่างมีนัยสำคัญ ประกอบกับปัจจัยบวกระยะสั้นจากงานประมูลยังไม่เข้ามา ภาพระยะยาวยังคงมุมมอง Bullish ต่อกลุ่มรับเหมาฯ โดยคงมุมมองที่ภาพระยะยาวงานประมูลรถไฟทางคู่เฟส 3 รวมถึงโครงการรถไฟฟ้ารวมกว่า 4 แสนลบ. จะเข้ามาหนุน backlog กลุ่มในปี 2564-2565 และพลิกภาพรายได้ก่อสร้าง และกำไรปกติ (+158% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) กลุ่มให้กลับมาเติบโตสูงใน 2565
กลุ่มพัฒนาอสังหาริมทรัพย์
มุมมอง slightly negative ต่อการปิดสถานที่ก่อสร้างและแคมป์คนงานอย่างน้อย 30 วัน ในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เพราะกระทบต่อแผนการก่อสร้างให้ชะลอออกไปอย่างน้อย 1 เดือน
มองผลกระทบต่อตลาด condo มากกว่าตลาดแนวราบ เพราะเข้าข่ายการต้องหยุดก่อสร้างตามประกาศข้างต้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ในขณะที่การสร้างบ้านแนวราบผลกระทบจำกัดกว่า เพราะเป็น site ขนาดเล็ก และไม่เกิดการเคลื่อนย้ายแรงงาน ทำให้มองยังมีโอกาสก่อสร้างได้ (ถ้าอิง lockdown รอบแรก site แนวราบยังก่อสร้างได้ ในขณะที่ condo ถูกชะลอการสร้าง)
สาหรับโครงการแนวราบยังมี stock เหลือขายโดยเฉลี่ยราว 1-2 เดือน ของแต่ละ developer ทำให้ถ้าหากถูกปิด 1 เดือน ยังกระทบไม่มาก แต่ถ้า condo ถูกชะลอการก่อสร้าง 1 เดือน จะกระทบแผนการก่อสร้างทั้งโครงการให้ช้าลง โดยเฉพาะ condo ที่จะรอโอนในไตรมาส4/2564ที่อาจเสร็จไม่ทันภายในปี ในขณะที่ปี ไตรมาส 2/2564 มี condo ใหม่รอโอน 21 โครงการ มูลค่ารวม 58.6 พันลบ. โดยเฉพาะรอโอนในไตรมาส4/2564อยู่ที่ 21% ของมูลค่ารวม หรือราว 12.1 พันลบ.
PSH มีโอกาส downside จากประเด็นนี้มากสุด เพราะมี condo รอโอนในไตรมาส4/2564 มากสุดที่ 8.9 พันลบ. (5 โครงการ) รองลงมาเป็น LPN จำนวน 1.7 พันลบ. (1 โครงการ) และ SIRI จำนวน 1.5 พันลบ. (1 โครงการ) ตามลำดับ แต่เนื่องจากใส่ประมาณการยอดโอน condo ที่จะเสร็จในไตรมาส4/2564ไม่มาก ผลกระทบต่อประมาณการกำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2564 ของ PSH, LPN และ SIRI จะอยู่ที่ 5%, 4% และ 2% จากเดิม ตามลำดับ (โดย assumption คือโอนแค่ 50% จากประมาณการยอดโอนเดิมใน condo ที่เสร็จในไตรมาส4/2564ของ)
กังวลประเด็นหลังจากนี้มากกว่า เพราะเริ่มเห็นผลการหมุนคนงานไม่ทันในบางบริษัท โดยถ้าสถานการณ์ลากยาวกว่าคาด กดดันการโอน/กำไรสุทธิ ไตรมาส 2/2564 ให้มีโอกาส downside มากขึ้น จากประมาณการกำไรสุทธิกลุ่มฯ ปี ไตรมาส 2/2564 ของที่ 26.8 พันลบ. (+8% เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน) โดยคาดผลกระทบดังกล่าวจะเริ่มเห็นในการโอนและกำไรสุทธิในไตรมาส 3/2564 เป็นต้นไป (ในขณะที่ในไตรมาส 2/2564 คาดผลกระทบยังไม่ชัดนัก โดย condo ที่มีแผนโอนในไตรมาส 2/2564 ของทั้ง AP, LH, SIRI และ SPALI จำนวน 5 โครงการ ทุกตัวโอนได้ตามแผน) รวมถึงอาจกระทบไปถึงแผนเปิดโครงการใหม่ในไตรมาส3/2564 กลุ่ม condo ให้ต้องชะลอออกไป เพราะสถานการณ์ไม่ดี
คง Neutral rating จากภาพรวมโตแบบค่อยเป็นค่อยไป โดยคาดการโตกำไรสุทธิกลุ่มฯ ในปี 2564-2565 เฉลี่ย 9% CAGR แนะนำ selective buy แค่ SPALI และ AP จากผลกระทบจำกัด เพราะไม่มี condo รอโอนในไตรมาส 4/2564 รวมถึงยอดขาย/ยอดโอนกลุ่ม low-rise ยังทำได้ดี
กลุ่มโรงแรม
มีมุมมอง Slightly Negative Sentiment ต่อประกาศดังกล่าว เพราะกระทบความเชื่อมั่นในการเปิดประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากชาวต่างชาติที่จะกลับมาท่องเที่ยวไทย ซึ่งภาครัฐมีแผนเริ่มเปิดประเทศในวันที่ 1 ก.ค. 2564 จากโคงการภูเก็ต Sandbox และ ตามด้วย เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี ในวันที่ 15 ก.ค. 2564, เกาะพีพี เกาะไหง ไร่เลย์ จังหวัดกระบี่ เขาหลัก จังหวัดพังงา และเชียงใหม่ ในวันที่ 1 ส.ค. 2021 และตั้งเป้าเปิดทั้งประเทศภายในเดือน ต.ค. 2021 (แผนเปิดประเทศใน 120 วันของนายกฯ)
มองว่าผู้ประกอบการโรงแรมที่จะได้รับ Sentiment เชิงลบมากสุดคือ ERW เพราะมีรายได้จากโรงแรมในไทยราว 96% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม หรือคิดเป็น 92% ของรายได้รวมในปี 2563 ตามด้วย CENTEL มีรายได้จากโรงแรมในไทย 83% ของรายได้ธุรกิจโรงแรม หรือคิดเป็น 33% ของรายได้รวมในปี 2019 ส่วนธุรกิจโรงแรมของ MINT มาจากไทยเพียง 14% หรือคิดเป็น 10% ของรายได้รวมในปี 2019
ยังให้น้าหนักต่อการจับตาสถานการณ์ยอดผู้ติดเชื้อในประเทศรายวัน และยอดผู้ติดเชื้อหลังจากเปิดรับนักท่องเที่ยว รวมทั้งประเด็นที่ต้องติดตามคือ 1) อัตราการฉีดวัคซีนยังมีความเสี่ยงจากการส่งมอบวัคซีนที่ยังมีความไม่แน่นอน 2) ความเชื่อมั่นของนักท่องเที่ยวต่างชาติต่อการกลับมาท่องเที่ยวไทย รวมถึงการเปิดประเทศของจีนให้ประชาชนเดินทางออกนอกประเทศ 3) ความสำเร็จของภูเก็ต sandbox และจังหวัดสุราษฎร์ธานี (เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า) โดยยังคงให้นํ้าหนักต่อการกลับมาของนักท่องเที่ยวต่างชาติในไตรมาส 4/2564 เป็นหลัก
ยังคงน้าหนักการลงทุน Bullish สาหรับกลุ่มฯ ยังคงเลือก MINT (Buy, TP22F 34.5 บาท) เป็น Top pick เพราะ 1) คาดโรงแรมในยุโรปฟื้นตัวเร็วกว่าคู่แข่งอย่าง ERW, CENTEL ที่มรายได้หลักมาจากโรงแรมในไทย โดยโรงแรมในยุโรปจะเริ่มเข้าสู่ High season ในช่วงไตรมาส3/2564 2) overhang ต่อประเด็นการตั้งด้อยค่าสินทรัพย์จบไปแล้ว 3) ด้านฐานะทางการเงินเริ่มคลี่คลาย หลัง MINT ประสบความสำเร็จในการขอยกเว้นการทดสอบอัตราส่วนทางการเงิน (Debt covenant) ทั้งจากผู้ถือหุ้นกู้ และเจ้าหนี้ธนาคารจนถึงสิ้นปี 2565 และ 3) อยู่ระหว่างดำเนินการขายสินทรัพย์ในยุโรป 2 ดีล มูลค่ารวมกันราว 1.0-1.5 หมื่นลบ. ซึ่งคาดว่าจะสำเร็จในไตรมาส 2-ไตรมาส3/2564 และมี MINT-W8 และ MINT-W9 หากมีการใช้สิทธิครบ MINT จะได้เงินจากเพิ่มอีกราว 1.0 หมื่นลบ.
กลุ่มพลังงานและปิ โตรเคมี:: มอง slightly negative จากความกังวลต่อความต้องการใช้น้ำมันภายในประเทศในช่วงราว 1 เดือนของมาตรการ มองผู้ที่จะได้รับ sentiment ลบ มากสุดจะเป็นกลุ่มสถานีบริการ (OR, BCP, PTG) รองลงมาเป็นโรงกลั่น (BCP, TOP, SPRC) ต้นน้ำ (PTT, PTTEP) และปิโตรเคมี (SCC, PTTGC, IRPC, IVL) ตามลำดับ
กลุ่ม MEDIA : มอง Slightly Negative จากผู้ประกอบการสินค้าและบริการชะลอการใช้งบโฆษณาลง ประเมินกลุ่มสื่อทีวี (BEC, MCOT, WORK) ได้รับผลกระทบน้อยที่สุดในกลุ่มฯ รองลงมาเป็นกลุ่มสื่อนอกบ้าน (VGI, PLANB) ถัดมาเป็นกลุ่มผลิต Content (GRAMMY, RS) ที่ได้รับผลกระทบโดยตรงจากกิจกรรม Concert และ Event ที่ต้องเลื่อนการจัดกิจกรรมออกไป และ MAJOR กระทบโดยตรง ยังเปิดโรงหนังไม่ได้
กลุ่ม MASS TRANSIT : มุมมอง Negative ต่อมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้นอาจทำให้ผู้บริโภคทำกิจกรรมนอกบ้านลดลงส่งผลให้มีการเดินทางลดลง ลบต่อ BEM, BTSGIF
กลุ่มเงินทุนและหลักทรัพย์:มอง slightly negative จากคาดกดดันให้ i) การเติบโตสินเชื่อที่ชะลอลง ii) NPL ปรับระดับเพิ่มขึ้น และ iii) มีความเสี่ยงเรื่อง Regulatory Risk เราคาดว่ากลุ่ม Secured Loan (MTC,SAWAD,TIDLOR,THANI,MICRO) มีความปลอดภัยมากกว่า Unsecured Loan (KTC,AEONTS)
กลุ่มนิคมอุตสาหกรรม: Slightly negative เนื่องจากมองว่าโอกาสในการเปิดประเทศอาจช้าลง คาดว่า WHA จะได้รับผลกระทบน้อยกว่า AMATA เพราะโครงสร้างรายได้ที่กระจายตัวมากกว่า
กลุ่มยานยนต์: Slightly negative เนื่องจากมองว่ากดดันให้ i) คาดเศรษฐกิจชะลอตัวต่อเนื่อง ii) ค่ายรถยนต์ต่างๆมีโอกาสปิดโรงงานชะลอการผลิต จากกำลังซื้อที่ลดลง และ iii) กิจกรรมต่างๆของค่ายรถยนต์อาจมีการยกเลิกหรือถูกเลื่อนออกไป เราคาดว่าทั้ง SAT และ STANLY ได้รับผลกระทบ
*อนึ่งข้อมูลที่มีการนำเสนอข้างต้น เป็นเพียงข้อแนะนำจากข้อมูลพื้นฐานเพื่อประกอบการตัดสินใจของนักลงทุนเท่านั้น และมิได้เป็นการชี้นำ หรือเสนอแนะให้ซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆการตัดสินใจซื้อหรือขายหลักทรัพย์ใดๆ ของผู้อ่าน ไม่ว่าจะเกิดจากการอ่านบทความในเอกสารนี้หรือไม่ก็ตาม ล้วนเป็นผลจากการใช้วิจารณญาณของผู้อ่าน