COTTO บวก 6% รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นผลงานไตรมาส 2 โตกว่าปีก่อน-รุกขยาย CLM หวังผลยาว
COTTO บวก 6% รับแผนธุรกิจเด่น-ลุ้นผลงานไตรมาส 2/2564 โตกว่าปีก่อน-รุกขยาย CLM หวังผลยาว ตั้งงบลงทุนปีนี้ 450-500 ล้านบาท
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(2 ก.ค.64) ราคาหุ้นบริษัท เอสซีจี เซรามิกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ COTTO ณ เวลา 10.41 น. อยู่ที่ระดับ 2.64 บาท บวก 0.14 บาท หรือ 5.60% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 308.89 ล้านบาท
โดยล่าสุด นายวุฒิกร สติฐิต รองกรรมการผู้จัดการใหญ่หน่วยธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บมจ.ปตท. (PTT) เปิดเผยว่า บริษัทจับมือบมจ.เอสซีจี เซรามิกส์ (COTTO) ร่วมศึกษาธุรกิจให้บริการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน เพื่อผลักดันและพัฒนาการใช้พลังงานหมุนเวียนที่มีศักยภาพสำหรับโรงงานอุตสาหกรรมในประเทศไทย
ทั้งนี้ความร่วมมือดังกล่าวเป็นการศึกษาความเป็นไปได้และพัฒนาการดำเนินธุรกิจโครงการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ หรือ Solar Rooftop สำหรับโรงงานอุตสาหกรรมและอาคารสำนักงาน โดยใช้ความเชี่ยวชาญ ตลอดจนประสบการณ์ในการทำธุรกิจด้านการให้บริการแนะนำ ออกแบบ และติดตั้งระบบผลิตไฟฟ้าพลังงานแสงอาทิตย์ครบวงจรของ เอสซีจี เซรามิกส์ ภายใต้ แบรนด์ “SUSUNN” มาร่วมพัฒนาธุรกิจให้บริการระบบผลิตไฟฟ้าจากพลังงานแสงอาทิตย์ให้แก่ลูกค้าก๊าซธรรมชาติ กลุ่มโรงงานอุตสาหกรรมและผลิตไฟฟ้าใช้เองของ ปตท. รวมไปถึงกลุ่มอื่นๆ ที่มีความสนใจ เช่น อาคารสำนักงาน
โดยปัจจุบัน ปตท. พร้อมแสวงหาพันธมิตรทางธุรกิจที่มีศักยภาพและประสบการณ์ เพื่อขยายธุรกิจด้านพลังงานสะอาดและนวัตกรรมด้านพลังงานอย่างต่อเนื่อง ด้วยเล็งเห็นว่าจะส่งผลดีต่อผู้ประกอบการและลูกค้าก๊าซธรรมชาติ เป็นการช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายในระยะยาว รวมถึงส่งผลดีต่อสิ่งแวดล้อม ลดการผลิตก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ สอดรับกับนโยบายของประเทศที่ส่งเสริมการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนมากขึ้น พร้อมขับเคลื่อนเศรษฐกิจของประเทศให้ดียิ่งขึ้นไป
อนึ่งก่อหน้านี้นายนำพล มลิชัย กรรมการผู้จัดการ COTTO กล่าวว่า บริษัทคาดผลการดำเนินงานในไตรมาส 2/64 เติบโตกว่าช่วงเดียวของปีก่อน เนื่องจากไตรมาส 2/63 เป็นไตรมาสที่มีผลการดำเนินงานที่แย่ที่สุดจากผลกระทบของการล็อกดาวน์ประเทช่วงโควิดระบาดรอบแรก แต่คาดผลงงานจะปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาส 1/64 จากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ระลอก 3
อย่างไรก็ตามมองผลการดำเนินงานในช่วงที่เหลือของปี จะปรับตัวดีขึ้นหรือแย่ลงขึ้นอยู่กับความเร็วในการกระจายวัคซีน ซึ่งจะส่งผลต่อความเชื่อมั่นกลับมาได้เร็วที่สุด
ทั้งนี้ กลยุทธ์การดำเนินงานในปีนี้ บริษัทยังมุ่งเน้นการขยายช่องทางการจำหน่ายให้ครอบคลุม โดยไตรมาสแรกของปี 64 มีการขยายคลังเซรามิกมากถึง 7 สาขา สูงกว่าเป้าหมายที่ตั้งไว้เดิมที่ 5 สาขา ทำให้ในไตรมาส 1/64 มีสาขารวมทั้งสิ้น 47 สาขา ซึ่ง COTTO มีแผนขยายสาขาให้ครบ 100 สาขา ภายในปี 66
นอกจากนี้ บริษัทยังมีการปรับโชว์รูมเป็นรูปแบบ ONE Stop Service Solution ภายใต้ชื่อแบรนด์ COTTO Life ซึ่งจะเป็นการเชื่อมโยงกันระหว่างออฟไลน์และออนไลน์ โดยรูปแบบดังกล่าวจะเริ่มตั้งแต่การให้คำปรึกษา, การออกแบบ การคัดเลือกสินค้า จนไปถึงการบริการติดตั้ง เพื่อให้ตรงกับความต้องการของลูกค้า โดยที่ผ่านมาบริษัทฯ ก็ได้มีการนำเสนอสินค้า ที่เรียกว่าเป็น LT by COTTO เน้นการติดตั้งรวดเร็ว ไม่มีฝุ่น ตรงกับความต้องการของลูกค้าที่มีในปัจจุบัน และคาดว่าจะเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในอนาคต อีกทั้งยังพัฒนาสินค้าที่เกี่ยวเนื่องกับเซรามิคอย่างต่อเนื่อง
ด้านตลาดต่างประเทศในกลุ่ม CLM แม้ขณะนี้จะมีการแพร่ระบาดของโควิด-19 และปัญหาการเมืองในประเทศเมียนมา แต่ยังเชื่อว่าในระยะยาวยังเป็นตลาดที่มีการขยายตัวได้ดี ซึ่งบริษัทยังคงเดินหน้าขยายตลาดในกลุ่มประเทศดังกล่าวอย่างต่อเนื่อง แต่ยอมรับว่ายอดขายในประเทศเมียนมาน่าจะลดลง 20-30% จากสัดส่วนยอดขายในเมียนมาที่มีอยู่ 4-5% ของยอดขายรวม
ส่วนธุรกิจพลังงานทดแทน หรือโซลาร์รูฟท็อป คาดว่าปีนี้จะเป็นปีแรกที่จะรับรู้รายได้เข้ามา โดยคาดจะมียอดขายราว 5% ของยอดขายรวม
นายนำพล กล่าวว่า สำหรับงบลงทุนในปีนี้บริษัทฯ วางไว้ราว 450-500 ล้านบาท เพื่อขยายธุรกิจ และลดต้นทุนด้านพลังงาน โดยในไตรมาสแรกใช้ไปแล้วจำนวน 38 ล้านบาท
“ปีนี้จะเน้นการขยายช่องทางการขายให้ครอบคลุม พัฒนาสินค้าให้ตรงกับพฤติกรรมผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยสร้างการเติบโตและความแตกต่างให้กับบริษัท เช่น สินค้า LT by COTTO ซึ่งเราก็ได้รับการตอบรับจากผู้ประกอบการอสังหาริมทรัพย์อย่างมาก รวมถึงธุรกิจพลังงานก็คาดสร้างการเติบโตของยอดขายให้กับบริษัทด้วย” นายนำพล กล่าว