TTB รายได้หด-ตั้งสำรองเพิ่ม กดกำไร Q2 เหลือ 2.53 พันลบ. ฉุดงวด 6 เดือนแตะ 5.32 พันลบ.
TTB รายได้หด-ตั้งสำรองเพิ่ม กดกำไรไตรมาส 2/64 เหลือ 2.53 พันล้านบาท ฉุดงวด 6 เดือนแตะ 5.32 พันล้านบาท
ธนาคารทหารไทยธนชาต จำกัด (มหาชน) หรือ TTB รายงานผลการดำเนินงานงวดไตรมาส 2 และงวดครึ่งปีแรก ของปี 2564 มีกำไรสุทธิ ดังนี้
โดธนาคารมีรายได้ดอกเบี้ยสุทธิในไตรมาส 2/2564 เป็นจำนวน 12,782 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 0.7 เทียบไตรมาสก่อนหน้า ส่วนใหญ่เป็นผลจากอัตราผลตอบแทนเงินให้สินเชื่อลดลงและปริมาณสินเชื่อชะลอตัว ด้วยการบริหารจัดการด้านงบดุลและต้นทุนทางการเงินช่วยลด ผลกระทบและหนุนให้ต้นทุนทางการเงินปรับตัวดีขึ้น ส่งผลให้ NIM อยู่ที่ร้อยละ 2.98
ในไตรมาส 2/2564 ท่ามกลางสภาวะตลาดที่ไม่เอื้ออำนวย รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 21.5 เทียบไตรมาสก่อนหน้า อยู่ที่ 3,118 ล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากรายได้ค่าธรรมเนียมและบริการสุทธิชะลอตัว จากการลดลงของรายได้ค่าธรรมเนียมกองทุนรวมและแบงก์แอสชัวรันส์จากการชะลอตัวของกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
ขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมธุรกิจยังคงเติบโตจากค่าธรรมเนียมการให้สินเชื่อและค่าธรรมเนียมสินเชื่อเพื่อการส่งออก ส่งผล ให้รายได้รวมจากการดำเนินงานในไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 15,900 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 5.6 จากไตรมาสก่อนหน้า
จากการพัฒนาหลักเกณฑ์เพื่อประเมินความเสี่ยงในการชำระหนี้ของ ลูกค้าภายหลังมาตรการให้ความช่วยเหลือจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ที่รุนแรงและกระจายในวงกว้าง ธนาคารได้ติดตามคุณภาพสินทรัพย์อย่างใกล้ชิดด้วยการตั้งสำรองฯ สะท้อนแบบจำลอง ECL อย่างรอบคอบ อีกทั้งพิจารณา ความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นโดยการตั้งสำรองผ่าน Management Overlay
ในไตรมาส 2/2564 ธนาคารตั้งสำรองฯ เป็นจำนวน 5,491 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเล็กน้อยร้อยละ 0.2 จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่สินเชื่อขั้นที่ 3 อยู่ที่จำนวน 43,543 ล้านบาท คิดเป็นอัตราส่วนสินเชื่อด้อยคุณภาพที่ร้อยละ 2.89 โดยการเพิ่มขึ้นของสินเชื่อด้อยคุณภาพสอดคล้อง กับเป้าหมายของธนาคารและส่วนใหญ่เป็นผลจากการชะลอตัวของสินเชื่อและกลยุทธ์การบริหารสินเชื่อด้อยคุณภาพโดยคำนึงถึงมูลค่าสินทรัพย์ในระยะยาว
หลังหักสำรองฯ และภาษี ทีทีบีมีกำไรสุทธิ 2,534 ล้านบาทในไตรมาส 2/2564 ซึ่งลดลงร้อยละ 8.9 เทียบไตรมาสก่อนหน้า และร้อยละ 18.1 เทียบช่วงเดียวกันของปีก่อน สำหรับครึ่งปีแรกของปี 2564 กำไรสุทธิอยู่ที่ 5,316 ล้านบาทลดลงร้อยละ 26.8 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ซึ่งคิดเป็นอัตราผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้น หรือ ROE ที่ร้อยละ 5.2