JMT บวก 3% โบรกฯมองกำไร Q2 แตะ 290 ลบ. ดันผลงานปีนี้โตเด่น ชูเป้า 53 บ.
JMT บวก 3% โบรกฯมองกำไรไตรมาส 2 ฟื้นแตะ 290 ลบ. คาดไตรมาส 3 โตชัดเจนจากแนวโน้มการจัดเก็บหนี้ได้เพิ่มขึ้น ดันผลงานปีนี้โต 35.70% แนะ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 53 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (21 ก.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท เจ เอ็ม ที เน็ทเวอร์ค เซอร์วิสเซ็ส จำกัด (มหาชน) หรือ JMT ณ เวลา 15.20 น. อยู่ที่ระดับ 47.00 บาท เพิ่มขึ้น 1.25 บาท หรือ 2.73% โดยทำจุดสูงสุดที่ 47.50 บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 45.50 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 528.17 ล้านบาท
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส จำกัด ระบุในบทวิเคราะห์ (20 ก.ค. 2564) โดยคาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 290 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.40% จากไตรมาสก่อนและ 27.60% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว ซึ่งมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) แนวโน้มรายได้รวมงวดไตรมาส 2/2564 ปรับเพิ่มขึ้น 2.30% จากไตรมาสก่อนและ 8.60% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว จากแนวโน้มการจัดเก็บกระแสเงินสด (Cash collection) ได้มากขึ้น จากพอร์ตลูกหนี้ที่ใหญ่ขึ้น ส่งผลบวกต่อการจัดเก็บเงินสดให้ฟื้นตัว
(2) แนวโน้มสัดส่วนค่าใช้จ่าย SG&A/Sales งวดไตรมาส 2/2564 อ่อนตัวลงเล็กน้อยมาที่ 17.00% จาก 17.10% ในงวดไตรมาส 1/2564 จากการควบคุมค่าใช้จ่ายดีขึ้น ขณะที่คาดอัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) งวดไตรมาส 2/2564 จะทรงตัวต่อเนื่องจากงวดไตรมาส 1/2564 ที่ระดับ 71.60% โดยรวมแล้วคาดการณ์กำไรสุทธิงวดครึ่งหลังปี 2564 เท่ากับ 572 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 32.00% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว คิดเป็น 40% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 ที่ฝ่ายวิจัยประเมินไว้
อย่างไรก็ตามทางฝ่ายวิจัยคงประมาณการคาดกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้นถึง 35.70% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว และในปี 2565จะเพิ่มขึ้นถึง 27.40% จากงวดเดียวกันของปีที่แล้ว จากรายได้ธุรกิจบริหารหนี้เติบโตสอดคล้องกับพอร์ตลูกหนี้ และการตัดมูลค่าเงินลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่หมดลงต่อเนื่อง ทั้งนี้คาดกำไรสุทธิงวดไตรมาส 3/2564 จะฟื้นตัวชัดเจนจากงวดไตรมาส 2/2564 จากแนวโน้มการจัดเก็บหนี้ ได้เพิ่มขึ้นตามฤดูกาลและแนวโน้มการตัดมูลค่าเงินลงทุนในลูกหนี้ด้อยคุณภาพที่หมดลง เพิ่มขึ้นในงวดไตรมาส 2/2564 (Fully Amortized) หนุนแนวโน้มประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้น
โดยกำหนดราคาเป้าหมาย (Fair value) ปี 2564 เท่ากับ 53 บาท อิง Adj. PBV 6.3 เท่า ตามวิธี GGM ภายใต้ คาดการณ์ ROE เฉลี่ยระยะยาว 22.00% ยังแนะนำเป็นซื้อโดยให้น้ำหนักการเติบโตของธุรกิจในงวดครึ่งหลังปี 2564