“ฟินันเซีย” สแกนหุ้น DRT ชูปันผลสูง-ดีมานด์ขยายตัว หนุนรายได้ปี 64 โตแตะ 550 ลบ.

ฟินันเซีย” แนะถือ DRT ชูปันผลสูง 6.4% และดีมานด์วัสดุก่อสร้างขยายตัวจากพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซ่อมแซมบ้านช่วง work for home หนุนรายได้ปี 2564 แตะ 550 ลบ. เป้า 7.30 บาท


บริษัทหลักทรัพย์ฟินันเซีย ไซรัส จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์เกี่ยวกับหุ้นบริษัท ผลิตภัณฑ์ตราเพชร จำกัด (มหาชน) หรือ DRT ว่าฝ่ายวิจัยประเมินราคาสุทธิไตรมาส 2/2564 อยู่ที่ 177 ล้านบาท (ลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้าและลดลง 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน) หากไม่รวมแต่มาส 2/2563 ที่มีกำไรพิเศษขายที่ดิน 10 ล้านบาท คาดการณ์ว่ากำไรปกติไตรมาส 2/2564 จะลดลง 10% จากไตรมาสก่อนหน้าแต่เพิ่มขึ้น 3% จากงวดเดียวกันของปีก่อน โดยประเด็นกดดันหลักมาจากปัจจัยฤดูกาลที่เป็นฤดูฝนและวันหยุดจำนวนมาก รวมถึงผลกระทบโควิด-19 ระลอก 3 แต่ถือว่าอัตราการใช้กำลังการผลิตรวมไตรมาส 2/2564 ยังทรงตัวสูงจากไตรมาส 1/2564 ที่ 90% ดีกว่าแผนของบริษัทที่ 80%

อย่างไรก็ตามคาดการณ์ว่ายอดขายจะชะลอตัวลง 5% จากไตรมาสก่อนหน้า แต่เพิ่มขึ้น 6% จากงวดเดียวกันของปีก่อน จากการเติบโตในทุกช่องทางขาย โดยเฉพาะเทียบกับฐานต่ำของช่องทางโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่ชะลอการเปิดตัว และ Modern Trade ที่มีคำสั่งปิดสาขาทั้งหมดในไตรมาส 2/2563 ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้นคาดการณ์ว่ารักษาระดับ 30% จากผลของ Product Mix และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

ส่วนทิศทางไตรมาส 3/2564 มีแรงชุดจากการแพร่ระบาด โควิด-19 รุนแรงมากขึ้น บวกกับภาครัฐบังคับใช้มาตรการควบคุมอย่างเช่น ปิดแคมป์ก่อสร้างกรุงเทพมหานครและปริมณฑลตั้งแต่ 28 มิถุนายนเป็นเวลา1เดือนซึ่งกระทบกับยอดขายช่องทางโครงการอสังหาริมทรัพย์ (คิดเป็นสัดส่วนราว 10% ของยอดขายรวม) รวมถึงมาตรการล็อคดาวน์ใน 13 จังหวัดซึ่งรวมถึงการปิดสาขา Modern Trade ในห้างสรรพสินค้าตั้งแต่ 20 กรกฎาคมกระทบช่องทาง Modern Trade (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 16% ของยอดขายรวม) คาดการณ์ว่าทำให้อัตราการใช้กำลังการผลิตรวมปรับรถเป็น 80%

นอกจากนี้คาดการณ์ว่าผลกระทบจากแนวโน้มต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น ตั้งแต่ครึ่งปีแรก 2564 หลังสต๊อกเก่าทยอยหมด โดยเฉพาะราคาเยื่อกระดาษ (สัดส่วน 11% ของต้นทุน) ซึ่งเพิ่มขึ้น 30% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ส่งผลให้คาดการณ์ว่าผลประกอบการไตรมาส 3/2564 จะหดตัวลงทั้งจากไตรมาสก่อน และจากงวดเดียวกันของปีก่อน และไตรมาส 4/2564 จะกลับมาฟื้นตัวตามปัจจัยฤดูกาล และสถานการณ์ในการระบาดโควิด-19 เริ่มคลายลง และ Pent Up Demand หลังคลายล็อคมาตรการควบคุม

โดยท่ามกลางปัจจัยลบที่รุนแรงกว่าคาด แต่ภาพรวมทั้งปี ผู้บริหารยังเชื่อมั่นว่ายอดขายทั้งปีจะเติบโตขึ้น 5% จากงวดเดียวกันของปีก่อน ตามเป้าหมายที่วางไว้ จากอุปสงค์ตลาดวัสดุก่อสร้างในกลุ่มซ่อมแซม ที่ขยายตัวสอดคล้องกับพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ซ่อมแซมบ้านช่วง work for home และราคาสินค้าเกษตรปรับตัวสูงขึ้น

ทั้งนี้หากไตรมาส 2/2564 ตามคาดการณ์กำไรครึ่งปีแรก 2564 จะคิดเป็น 68% ของคาดการณ์ทั้งปี ทำให้มองว่าประมาณการปี 2564 จะทรงตัวจากงวดเดียวกันของปีก่อนที่ 550 ล้านบาทยังเป็นไปได้คงราคาเหมาะสมของปี 2564 ที่ 7.30 บาท ปัจจุบันมีการอัพไซด์จำกัดและระยะสั้นหุ้น อาจกดดันจากกำไรไตรมาส 2 และไตรมาส 3 ของปี 2564 จะอ่อนตัวลง รวมถึงมี Key Risk จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่อยู่ระดับสูง ทำให้ภาครัฐอาจออกมาตรการควบคุมเพิ่มเติม และต้นทุนวัตถุดิบที่เป็นขาขึ้นเป็นปัจจัยกดดันในครึ่งปีหลัง 2564

อย่างไรก็ตามจุดเด่นคือปันผลดีและสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์ว่าครึ่งปีแรก 2564 จ่ายปันผล 0.22 บาทต่อหุ้นเป็น Yield 3% (บนสมมุติฐาน Payout 50%) และคาดการณ์ว่าผลตอบแทนปันผลทั้งปีสูงถึง 6.4% จึงคงคำแนะนำถือรับปันผลและเหมาะกับนักลงทุนที่ชอบปันผล ทั้งนี้บริษัทรายงานงบไตรมาส 2/2564 วันที่ 16 สิงหาคมนี้

Back to top button