พาราสาวะถีอรชุน
วันนี้ถือเป็นวันแรกที่ผู้มีอำนาจวาสนาได้เก้าอี้ใหญ่โตในแวดวงราชการจะได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือเก้าอี้ผบ.ทบ.ภายใต้การบัญชาการของ พลเอกธีรชัย นาควานิช จากสังกัดบูรพาพยัคฆ์คนล่าสุด ซึ่งประกาศหลังรับมอบเก้าอี้เมื่อวันวาน กองทัพเป็นกลาง ไม่ได้เป็นศัตรูกับใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
วันนี้ถือเป็นวันแรกที่ผู้มีอำนาจวาสนาได้เก้าอี้ใหญ่โตในแวดวงราชการจะได้เริ่มปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งใหม่ ที่ถูกจับตามองมากที่สุดคือเก้าอี้ผบ.ทบ.ภายใต้การบัญชาการของ พลเอกธีรชัย นาควานิช จากสังกัดบูรพาพยัคฆ์คนล่าสุด ซึ่งประกาศหลังรับมอบเก้าอี้เมื่อวันวาน กองทัพเป็นกลาง ไม่ได้เป็นศัตรูกับใครหรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
แต่ที่ต้องขีดเส้นใต้คือ สถานการณ์ในปัจจุบันไม่ปกติจึงถือเป็นภารกิจของทหารที่จะต้องดูแลความสงบเรียบร้อยและนำพาสังคมกลับมาเป็นปกติโดยเร็ว นั่นหมายความว่า หน้าที่ของกองทัพบกภายใต้การนำของบิ๊กหมูคือ ค้ำยันบัลลังก์อำนาจของ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีและหัวหน้าคสช. เพราะท่านประกาศไว้ว่า กองทัพมีหน้าที่ตอบสนองนโยบายสำคัญของรัฐบาลและคสช.
เป็นอันว่างานนี้ไว้วางใจได้ ไม่มีปัญหาเรื่องรัฐประหารซ้อน ไม่มีใครมาสั่นคลอนเก้าอี้ของบิ๊กตู่ได้ นั่นเป็นเพราะการวางหมากเกมที่เยี่ยมยุทธ์ของพี่ใหญ่ “บิ๊กป้อม” พลเอกประวิตร วงษ์สุวรรณ จนมีคนค่อนขอดว่า หัวหน้าคสช.เชื่อพี่ป.ป้อมดีกว่าไปศิโรราบกับป.ปลาตัวอื่นเป็นไหนๆ ได้ยินได้ฟังคำของผบ.ทบ.คนใหม่แล้วทำให้ใจชื้นกันเป็นแถว
เช่นเดียวกันกับผบ.ตร.คนใหม่ที่ถูกใส่ชื่อผลักดันโดยบิ๊กป้อม พลตำรวจเอกจักรทิพย์ ชัยจินดา ในฐานะแป๊ะลูกพี่ใหญ่ของชาวสีกากี ก็ประกาศเสียงดังฟังชัด จะนำพาตำรวจออกจากความขัดแย้งทางการเมือง ช่างโดนใจผู้มีอำนาจเสียจริงๆ เพราะถ้าวัดระดับความรุนแรงในแง่ของตำรวจเลือกสีต้องยอมรับกันว่า ส่วนใหญ่จะเป็นตำรวจมะเขือเทศมากกว่า
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่เป็นปมทำให้สังคมเกิดข้อกังขาเวลานี้ คงเป็นผลงานที่ยังไม่รู้ว่าจะเรียกโบว์ดำหรือโบว์แดงดีกับการทิ้งทวนเก้าอี้ผบ.ตร.ของ พลตำรวจเอกสมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง นั่นก็คือการประกาศปิดคดีระเบิดแยกราชประสงค์ หลัง อาเดม คาราดัก ผู้ต้องหาคนสำคัญเปิดปากรับสารภาพเป็นชายเสื้อเหลืองที่นำกระเป๋าไปก่อเหตุบริเวณศาลท้าวมหาพรหม
คงจะการเดินมาถูกทางเมื่อล่าสุด ชูชาติ กันภัย ทนายความของอาเดมช่วยออกมายืนยันว่าเจ้าตัวยอมรับว่าทุกอย่างเป็นไปตามที่พนักงานสอบสวนให้ข่าวจริง โดยยกเหตุของการลงมือว่าเป็นการตอบแทนผู้มีพระคุณ ที่เหลือจึงเป็นหน้าที่ของผบ.ตร.คนใหม่ซึ่งรับเก้าอี้หัวหน้าทีมคลี่คลายคดีก่อนหน้านั้นจะต้องสืบสาวหาตัวคนบงการมาลงโทษต่อไป
จุดสำคัญของคดีนี้คงอยู่ที่ตัวละครชื่อ“ไอ้อ๊อด” หรืออ๊อด พยุงวงศ์ หรือ ยงยุทธ พบแก้ว ที่วันวานบิ๊กป้อมก็ยืนยันว่าเป็นตัวการสำคัญ แต่ความสงสัยของคนส่วนใหญ่เกิดขึ้นก็คือ ทั้งๆ ที่ฝ่ายตำรวจบอกว่าเกี่ยวพันกับเหตุระเบิดสมานเมตตาแมนชั่นและระเบิดย่านมีนบุรีเมื่อปี 2553 และปี 2557 แต่เหตุใดจึงไม่มีประวัติอาชญากรหรือแม้กระทั่งเลขประจำตัวประชาชน 13 หลัก
ที่หวั่นว่าจะเป็นปัญหาจุดชนวนให้เกิดความไม่พอใจคงมีการพาดพิงไปถึงกลุ่มคนเสื้อแดง เพราะ พลตำรวจโทศรีวราห์ รังสิพราหมณกุล ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล ดันไปปูดข้อมูลว่าเคยเป็นการ์ดนปช.มาก่อน ร้อนถึง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธานนปช.ต้องออกมาตอบโต้ทันควัน คนที่ไร้หลักแหล่ง ไม่มีตัวตน ทำไมจึงลากมาให้เชื่อมโยงกับคนเสื้อแดงจนได้
นั่นเป็นภาพสะท้อนความต้องการที่จะยั่วยุเพื่อให้กลุ่มแนวร่วมทางการเมืองที่ฝักใฝ่ประชาธิปไตยตบะแตก ทั้งๆ ที่เก็บตัวให้โอกาสคณะรัฐประหารได้ทำการปฏิรูปประเทศอย่างเต็มที่ใช่หรือไม่ ก่อนจะทิ้งท้ายว่า “พวกผมประกาศชัดไม่แย่งชิงอำนาจพวกท่าน แต่ไม่ต้องการให้ใครมาย่ำยีกัน พูดทั้งหมดตรงไปตรงมา อย่าให้พวกผมคิดว่า นั่งพับเพียบก็แล้ว นิ่งก็แล้ว ถ้ายังไม่หยุด ท่านจะได้ในสิ่งที่ท่านต้องการ”
ถือเป็นสัญญาณแรงที่ส่งตรงมาจากแกนนำคนเสื้อแดงคนสำคัญ แต่คงยังไม่มีอะไรในกอไผ่ ตราบใดที่เจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่สามารถจับกุมตัวไอ้อ๊อดตัวเป็นๆ มาดำเนินคนดีได้ ด้านบิ๊กตู่ก็ไปประกาศบนเวทียูเอ็นว่า คนไทยไม่ยอมรับการก่อเหตุรุนแรงรวมไปถึงการแสดงสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสหประชาชาติว่าด้วยเรื่องสิทธิมนุษยชนจนทำให้คนฟังเคลิบเคลิ้ม
จึงหวังว่าหลังจากกลับมาถึงเมืองไทยจะไม่ลืมคำพูดสวยหรูเหล่านั้นทิ้งไว้ที่นิวยอร์ก ควรนำกลับมาใช้ให้เห็นผลระหว่างที่รอกระบวนการปฏิรูปและการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ การเปิดใจให้กว้างรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง จะถือเป็นคณะรัฐประหารชุดแรกของโลกที่ทำได้เช่นนี้ แน่นอนว่าท้ายที่สุดก็จะนำมาซึ่งความเชื่อมั่นอย่างที่ท่านต้องการ
คงต้องฟังถอยแถลงของ บารัก โอบามา ผู้นำสหรัฐฯที่กล่าวสุนทรพจน์ต่อที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติว่า ประวัติศาสตร์ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาพิสูจน์แล้วว่า พวกเผด็จการวันนี้เป็นตัวจุดประกายให้คนออกมาต่อสู้ในวันหน้า คุณอาจจะกักขังฝ่ายตรงข้ามคุณได้ แต่จำคุกความคิดพวกเขาไม่ได้ คุณอาจจะลองควบคุมข่าวสารข้อมูลดูก็ได้ แต่คุณเปลี่ยนเรื่องโกหกให้เป็นสัจธรรมไม่ได้หรอก
แม้อาจจะถูกมองเป็นวาทกรรมพี่เบิ้มที่ยากจะนำไปสู่การปฏิบัติได้ แต่อย่างน้อยก็น่าจะเป็นแนวทางของผู้มีอำนาจในประเทศไทยได้ตระหนักถึงสัญญาณของประเทศในโลกประชาธิปไตย ที่มีต่อรัฐบาลรัฐประหารว่าเป็นอย่างไร อันจะส่งผลต่อกระบวนการพิจารณามาตรการที่ใช้กับประเทศนั้นๆ กรณีไทยคงหนีไม่พ้นทั้งปมเทียร์ 3 จากปัญหาการค้ามนุษย์และใบเหลืองจากการทำประมงผิดกฎหมาย
แต่งานเร่งด่วนของบิ๊กตู่ทันทีที่กลับมาจากสหรัฐฯ คงเป็นเรื่องการหาตัวคนมานั่งประธานกรรมการร่างรัฐธรรมนูญ ที่จนถึงนาทีนี้ไม่น่าจะหนีพ้น 2 รายชื่อคือ มีชัย ฤชุพันธุ์ กับ พลเอกจิระ โกมุทพงศ์ โดยรายหลังนั้นเป็นเต็งสองที่พร้อมที่จะรับตำแหน่งทันทีหากฝ่ายแรกเซย์โน ส่วนกรรมการอีก 20 รายนั้นยืนยันมาจากทุกสายว่าพร้อมเรียบร้อย รอเพียงหัวหน้าคสช.เคาะเป็นคนสุดท้ายเท่านั้น