พาราสาวะถี
เพราะอะไรผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงได้เรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องหลังประชุมครม. เพื่อถกแค่ประเด็นการฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ เพราะข่าวลือเรื่องการจะยุบศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ และไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยหรือข่าวปล่อยที่ไม่มีมูลอย่างแน่นอน เด่นชัดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า การแก้ไขปัญหาโควิด-19 มีการแย่งซีน ขบเหลี่ยมหวังช่วงชิงผลงาน แต่ยิ่งนานวันสถานการณ์กลับเลวร้ายลงต่อเนื่อง จากวิกฤติจนจะวิบัติ ตามคำที่ สมหมาย ภาษี อดีตเสนาบดีรัฐบาลคสช.ว่าไว้
เพราะอะไรผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจถึงได้เรียกประชุมฝ่ายที่เกี่ยวข้องหลังประชุมครม. เพื่อถกแค่ประเด็นการฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ เพราะข่าวลือเรื่องการจะยุบศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้ไม่ใช่เรื่องปกติแน่ และไม่ใช่แค่ข่าวโคมลอยหรือข่าวปล่อยที่ไม่มีมูลอย่างแน่นอน เด่นชัดมาตั้งแต่ต้นอยู่แล้วว่า การแก้ไขปัญหาโควิด-19 มีการแย่งซีน ขบเหลี่ยมหวังช่วงชิงผลงาน แต่ยิ่งนานวันสถานการณ์กลับเลวร้ายลงต่อเนื่อง จากวิกฤติจนจะวิบัติ ตามคำที่ สมหมาย ภาษี อดีตเสนาบดีรัฐบาลคสช.ว่าไว้
หากย้อนความกลับไปจำได้ว่า ตอนที่เปิดให้ฉีดวัคซีนที่สถานีกลางบางซื่อ ความตั้งใจหลักของพรรคที่ดูแลพื้นที่คือภูมิใจไทย ทั้ง อนุทิน ชาญวีรกูล และ ศักดิ์สยาม ชิดชอบ ต้องการจะให้เป็นจุดใหญ่สำหรับการวอล์กอินมาฉีดวัคซีน แต่ก็ถูกผู้นำเผด็จการเบรกหัวทิ่มคาที่ประชุมครม.และสั่งให้เปลี่ยนเป็นการฉีดแบบลงทะเบียนและเปิดแบบออนไซต์แทน จนกระทั่งกลับมาเปิดให้กลุ่มผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไปและ 7 กลุ่มโรคเรื้อรัง วอล์กอินมาฉีดในสัปดาห์ที่ผ่านมาจนถึงสิ้นเดือนนี้
ภาพของความแออัดยัดทะนานของผู้คนที่แห่แหนไปฉีดวัคซีน คือปัจจัยหลักที่เป็นต้นตอของที่มาข่าวการยุบศูนย์ฉีดวัคซีนแห่งนี้ โดยตั้งต้นจากศบค.และขานรับต่อกันโดยกทม.ในฐานะองค์กรปกครองลักษณะพิเศษ ที่ทำงานไม่ประสานเป็นเนื้อเดียวกันกับทางกระทรวงสาธารณสุขอยู่แล้ว จนเป็นปัญหาของการระบาดอย่างหนักในพื้นที่เมืองหลวงจนถึงทุกวันนี้ ภาพคนแห่แหนไปฉีดวัคซีนที่ปรากฏก็เป็นตัวสะท้อนที่ชัดเจนว่า รัฐบาลบริหารจัดการเรื่องนี้ล้มเหลว
อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่เรื่องแปลกที่ในวงประชุมซึ่งผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจนั่งหัวโต๊ะ แม้เป็นการประชุมผ่านระบบวีดีโอ คอนเฟอร์เรนซ์ แต่ก็เกิดการปะฉะดะกันระหว่าง พลตำรวจเอกอัศวิน ขวัญเมือง ผู้ว่าฯ กทม.ลากตั้ง กับ หมอการเมือง นายแพทย์โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค เมื่อผู้ยิ่งใหญ่แห่งเสาชิงช้าโวยว่าได้รับการจัดสรรวัคซีนมาให้เพียง 7 แสนโดสเท่านั้น ขณะที่หมอโอภาสก็ชี้แจงว่าได้มีการส่งมอบไปให้แล้ว 2.1 ล้านโดส
ทว่าผู้ว่าฯ กทม.ก็ตอกกลับไปว่า ที่ส่งมาเป็นการส่งให้สำนักอนามัยและนำไปให้คนที่ลงทะเบียนหมอพร้อม ไม่ได้เป็นการจัดการของกทม. ขณะที่หมอการเมืองชี้แจงว่า เมื่อ สธ.ให้ไปแล้ว สำนักอนามัยจะนำไปส่งมอบให้ใครต่อ ไม่ว่าจะเป็นโรงพยาบาลหรือคนที่ลงทะเบียนตามระบบหมอพร้อม สธ.ไม่มีส่วนรู้เห็น เพราะถือเป็นเรื่องการบริหารจัดการของกทม. และกทม.ขอมาเท่าไหร่กระทรวงสาธารณสุขก็จัดสรรเท่านั้น จนสร้างความไม่พอใจให้กับผู้ว่าฯ ลากตั้ง
ถึงขั้นสวนกลับอีกฝ่ายว่า“คุณพูดให้เป็นลูกผู้ชายหน่อยสิ” จนผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจต้องตัดบท แค่นี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่า ในภาวะวิกฤติเช่นนี้กระบวนการบริหารจัดการ โดยที่ผู้นำรวบอำนาจทุกอย่างไว้กับตัวเอง ใช้กฎหมายพิเศษอย่างพ.ร.ก.ฉุกเฉิน แต่กลับไม่สามารถทำอะไรให้เป็นเอกภาพได้ การต่ออายุพ.ร.ก.ฉุกเฉินออกไปอีก 2 เดือนด้วยเหตุผลว่าเพื่อใช้แก้ไขโรคระบาดให้ได้นั้น จึงไม่น่าจะเป็นเช่นนั้น เป็นการคงกฎหมายแรงไว้เพื่อปิดปากคนเห็นต่างและสกัดม็อบที่จะมาไล่ตัวเองเป็นด้านหลัก
การแก้ไขปัญหาของรัฐบาลต่อวิกฤติโควิดคือการไล่ตามปัญหา เพราะไม่มีปัญญาหาวัคซีนมาสู้กับโควิดกลายพันธุ์ ต้องยอมรับความจริงที่ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจที่รวบอำนาจมาไม่มีทางแก้ปัญหาได้ สิ่งที่ทำอยู่ทุกวันนี้คือการคอยปิดบังปัดกวาดความผิดพลาดที่ตัวเองทำไว้ วิธีการที่ใช้ก็เหมือนทุกครั้งที่เผชิญกับแรงกดดันในแต่ละเรื่อง พูดแล้วทำไม่ได้ก็ตีมึนพูดเรื่องใหม่ พูดง่าย ๆ คือ ใช้ไอโอตามที่ถนัดสร้างข่าวใหม่เพื่อกลบกระแสข่าวด้านลบของตัวเองตลอดเวลา
ความขัดแย้งจากวงประชุมระหว่างกระทรวงสาธารณสุขกับกทม. คือบทพิสูจน์ คนนั่งหัวโต๊ะเป็นหัวหลักหัวตอ อ้างออกกฎมาบังคับใช้ให้คนปฏิบัติ เหมือนอย่างที่คนเรียกร้องให้สวมชุดพีพีอีไปตรวจตามโรงพยาบาลและศูนย์ฉีดวัคซีนกลางบางซื่อ ก็อ้างตัวเองเป็นผู้มีอำนาจออกกฎให้ทำงานอยู่ที่บ้าน ก็ต้องทำเป็นตัวอย่าง พร้อมโยนให้เป็นภาระของรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องทำงานแทน แบบนี้จะเรียกว่าผู้นำหัวหดหนีปัญหาหรือไม่อยากสู้หน้าคน ตอบคำถามที่ตัวเองไม่อยากตอบหรือไม่
เข้าใจได้ว่า คนทำงานต้องมีผิดพลาดบ้างแต่กับสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะทำในการเผชิญวิกฤติโควิด-19 ที่เป็นอยู่ต้องบอกว่าเละเทะไปหมด โดยเฉพาะเรื่องวัคซีน การจัดซื้อมีปัญหาหนักไม่ต้องอธิบายว่าเป็นอย่างไร ของแจกที่รับมาทั้งแอสตร้าเซเนกาจากญี่ปุ่นที่เป็นวัคซีนไวรัลเวกเตอร์ กับไฟเซอร์จากสหรัฐอเมริกา ก็ยังมีปัญหาถึงขนาดที่ต้องให้บุคลากรทางการแพทย์ด่านหน้าเข้าชื่อทวงถาม แบบนี้จะให้เรียกการบริหารงานของรัฐบาลสืบทอดอำนาจว่าอย่างไร
ความล้มเหลวและข้อผิดพลาดที่ถูกซุกไว้ใต้พรมคือสิ่งที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจจำใจ ฝืนทนอยู่ถึงทุกวันนี้ สิ่งที่ ทักษิณ ชินวัตร พูดในคราบของ โทนี่ วูดซัม ผ่านคลับเฮาส์เมื่อคืนวันอังคารฉายภาพได้ดีเหตุการณ์ที่สับสนวุ่นวายก็คือรัฐบาลประเมินสถานการณ์โรคนี้ต่ำไป ไม่ตรวจด้วยก็ยิ่งสบาย ๆ เมื่อเหตุการณ์เกิดแล้วก็ยิ่งวิ่งช้าก็เลยเหมือนงูกินหาง แต่วันนี้ก็ยังวิ่งให้เร็วกว่าปัญหาไม่ได้ มิหนำซ้ำ ยังทำตัวไม่โปร่งใสเหมือนรัฐธรรมนูญที่อ้างว่าเขียนมาเพื่อปราบโกงอีกต่างหาก
ไม่ได้เป็นการกล่าวหาที่เกินเลย เนื่องจากการกระทำมันสวนทางกับสิ่งที่กล่าวอ้างอย่างสิ้นเชิง หากตั้งใจปราบโกงจริง ทุกอย่างต้องเปิดเผย แต่กลับพบว่าในยุคเผด็จการสืบทอดอำนาจกลับมีการแก้ไขกฎหมายข้อมูลข่าวสาร เหมือนที่ทักษิณว่าสมัยตัวเองบริหารประเทศมีพ.ร.บ.ข้อมูลข่าวสารที่บังคับว่าต้องเปิดเผย แต่ตอนนี้เปลี่ยนไปก็ไม่รู้ว่ากฎหมายใหม่เป็นอย่างไร “ความลับเยอะจนมึน” บังเอิญว่ามีเนติบริกรเยอะเลยใช้กันให้คุ้มและคุ้มกะลาหัวตัวเองทุกช่องทางด้วย
สถานการณ์โควิดสำหรับประชาชนต้องดิ้นรนหาฉีดวัคซีนเพื่อปกป้องตัวเอง เช่นเดียวกับมาตรการส่วนตัวที่ป้องกันกันสุดฤทธิ์เพื่อให้รอดพ้นจากวิกฤตินี้ให้ได้ ส่วนภาคการเมืองไม่ต้องพึ่งหวังใด ๆ พรรคการเมืองที่อยากเห็นการถอนตัวก็ตีกรรเชียงอยู่ในอำนาจเสพสุขกันให้นานที่สุด ปล่อยให้ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจรับหน้าตามลำพัง มันจึงทำให้เห็นว่าตั้งแต่ต้องกักตัวหลังภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ ท่านผู้นำเก็บตัวอยู่กับบ้าน ไม่พบหน้าผู้คน ไม่ยอมเจอสื่อมวลชน เช่นนี้แล้วประเทศยังมีความหวังอยู่อีกหรือ