พาราสาวะถี
ประเด็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสั่งให้ทุกกระทรวงจัดตั้งหน่วยงานเร่งติดตามและเอาผิดคนที่ปล่อยข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสื่อ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือกระทั่งประชาชนธรรมดา หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที กระทั่ง 6 สมาคมวิชาชีพสื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าว ถือเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติของสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งประชาชนต้องการความชัดเจนจากภาครัฐ
ประเด็นผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจสั่งให้ทุกกระทรวงจัดตั้งหน่วยงานเร่งติดตามและเอาผิดคนที่ปล่อยข่าวปลอมหรือเฟคนิวส์ ไม่ว่าจะเป็นองค์กรสื่อ บุคคลที่มีชื่อเสียงหรือกระทั่งประชาชนธรรมดา หากพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องให้สามารถดำเนินการตามกฎหมายได้ทันที กระทั่ง 6 สมาคมวิชาชีพสื่อออกแถลงการณ์เรียกร้องให้หยุดการกระทำดังกล่าว ถือเป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นท่ามกลางวิกฤติของสถานการณ์โควิด-19 ซึ่งประชาชนต้องการความชัดเจนจากภาครัฐ
ปัญหาก็คือสิ่งที่ถูกสื่อมาจากภาครัฐเป็นเรื่องที่ปราศจากข้อเท็จจริง พูดให้ชัดคือโกหก กะล่อน ตอแหล เพื่อให้ตัวเองดูดีและเป็นที่ยอมรับของประชาชนนั่นเอง ตัวอย่างที่เห็นได้ชัดและไม่ใช่เรื่องการนำเสนอข่าวปลอมของภาคส่วนใดทั้งสิ้นก็คือเรื่องของวัคซีนโควิด ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเป็นคนประกาศเองว่าการฉีดวัคซีนเป็นวาระแห่งชาติจะเริ่มดำเนินการปูพรมฉีดตั้งแต่วันที่ 7 มิถุนายนที่ผ่านมา แต่จนถึงบัดนี้ถามว่าเป็นไปตามนั้นหรือไม่
ต้นตอของปัญหาไม่ใช่เฟคนิวส์ หากแต่เป็นการพูดโกหกของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจเอง ที่เคยย้ำไปแล้วว่าการแถลงผ่านทีวีพูลเมื่อเดือนเมษายน เรื่องตัวเลขวัคซีนเดือนละ 10 ล้านโดส ไม่ใช่คละยี่ห้อด้วย จำเพาะเจาะจงว่าเป็นแอสตร้าเซเนกา แต่ว่าเอาเข้าจริงบริษัทผู้ผลิตยืนยันเองว่ารัฐบาลไทยขอไปแค่เดือนละ 3 ล้านโดส แต่บริษัทเห็นสภาพปัญหาและเข้าใจจึงเร่งจัดหามาให้ได้เดือนละ 5-6 ล้านโดส ความจริงที่ปรากฏเช่นนี้ถามว่าเป็นข่าวปลอมหรือไม่
ดังนั้น สิ่งที่สมาคมวิชาชีพออกแถลงการณ์มา พร้อมแอคชันที่นาน ๆ จะได้เห็นซักครั้งนั่นก็คือ คำขู่ที่ว่าจะมีกิจกรรมที่แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยจนกว่ารัฐบาลจะเข้าใจและตระหนักได้ว่า การพยายามจำกัดเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของประชาชนและสื่อมวลชนย่อมนำไปสู่ความล่มสลายของรัฐบาลในที่สุด จะเป็นเช่นนั้นจริง เพราะตลอดระยะเวลากว่า 7 ปีที่ผ่านมา ดูเหมือนว่านอกเหนือจากการถูกอำนาจเผด็จการปิดปากช่วงก่อนหน้า แต่หลังจากนั้นก็ดูออกจะเกรงใจกันพอสมควร
พอจะเข้าใจได้ไม่ใช่เฉพาะกลไกรัฐที่ต้องอาศัยพึ่งพากัน รวมไปถึงการรับประโยชน์จากเอกชนที่ได้รับอานิสงส์อย่างเต็มที่ของรัฐบาลเผด็จการสืบทอดอำนาจ จึงทำให้เสียงของการตรวจสอบและเอาจริงเอาจังกับขบวนการสืบทอดอำนาจเบาบางลงไปอย่างที่ไม่ควรจะเกิดขึ้น แต่เมื่อหนนี้ที่ถูกรุกไล่ถึงขั้นสั่งปิดปากจากผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจ ก็ไม่อาจจะทนนิ่งเฉยดูดายกันอีกต่อไปได้ ความจริงหากเป็นผู้นำที่มีวิสัยทัศน์และไม่ล้มเหลวในการบริหารงานโดยเฉพาะกรณีโควิดก็คงไม่เข้าตาจนถึงขนาดสั่งการแบบนี้
อย่าว่าแต่สมาคมวิชาชีพสื่อ แม้แต่คนในสังกัดพรรคสืบทอดอำนาจอย่าง “มาดามเดียร์” วทันยา วงษ์โอภาสี ก็ไม่ยอมนิ่งดูดายต่อพฤติกรรมดังกล่าวของท่านผู้นำ และเสนอความเห็นได้อย่างน่าชื่นชม การแสดงจุดยืนของรัฐบาลที่มองการเรียกร้องความเดือดร้อนของประชาชนเป็นศัตรู ขณะที่รัฐบาลคือตัวแทนประชาชนที่ได้รับเลือกตั้งเข้ามาบริหารประเทศ และหน่วยงานราชการควรเป็นที่พึ่งให้ประชาชนในการบริการและคอยให้ความช่วยเหลือประชาชนอย่างเต็มที่ที่สุด โดยเฉพาะเวลาที่ประเทศกำลังเกิดวิกฤติเช่นนี้
จริงอยู่ว่าการบังคับใช้กฎหมายสำหรับผู้กระทำผิดโดยเฉพาะผู้ที่จงใจฝ่าฝืนกฎหมายนั้นเป็นเรื่องสำคัญที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ เพื่อรักษาความเป็นระเบียบเรียบร้อย แต่ในยามที่ประชาชนทั่วทุกหย่อมหญ้ากำลังได้รับความเดือดร้อน คนกำลังล้มตายเป็นใบไม้ร่วง นั่นยังไม่นับรวมถึงคนที่เหมือนตายทั้งเป็นเพราะไม่มีเงินจะมาซื้อข้าวให้คลายจากความหิว ความรู้สึกเหล่านี้ประชาชนควรจะได้รับเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการแสดงออก
การบังคับใช้กฎหมายเฟคนิวส์ที่การตัดสินอยู่บนดุลพินิจของเจ้าหน้าที่ การแสดงความรู้สึกในทางลบ เช่น วัคซีนไร้ประสิทธิภาพ รอวัคซีนนานแล้ว รัฐบาลไม่ทำอะไร หรือกระทั่งการวิจารณ์การทำงาน ก็หมิ่นเหม่ต่อการผิดกฎหมาย เป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่ผู้มีอำนาจจะต้องทำด้วยความรอบคอบอย่างยิ่งต่อประชาชน และเมื่อมีการบังคับใช้กฎหมาย ต้องไม่ลืมที่จะทำงานเชิงรุกอย่างสร้างสรรค์ นั่นคือการปรับปรุงกระบวนการสื่อสารของรัฐที่ต้องสื่อสารข้อมูลสำคัญไปให้ถึงประชาชน
สิ่งสำคัญคือ การสื่อสารต้องไม่ทำให้ประชาชนเกิดความสับสนจนสุดท้ายต้องพยายามวิ่งหาข้อมูลด้วยตนเอง เพราะเมื่อใดก็ตามที่ประชาชนเกิดความสับสน ไม่แน่ใจในข้อมูล เมื่อเวลาต้องการหาข้อมูลแต่ไม่รู้ว่าจะเช็กข้อมูลถูกต้องได้ที่ไหน ก็จะเป็นโอกาสของผู้ที่ไม่หวังดีในการสร้างเฟคนิวส์ แต่ข่าวปลอมอย่างไรเสียก็ไม่มีทางที่จะทำลายความเชื่อมั่นของรัฐบาลได้ ถ้าการบริหารทุกอย่างมีประสิทธิภาพ จะไม่เกิดคำถามขึ้นแทบทุกเรื่องเฉพาะกรณีโควิด-19 ในหมู่ประชาชน
ความเห็นส่งท้ายของมาดามเดียร์ที่ว่า การบังคับใช้กฎหมายเพียงอย่างเดียวโดยไม่แก้ไขปัญหาที่ต้นเหตุนั้น สุดท้ายแล้วผลลัพธ์ที่ได้ก็ไม่อาจเป็นไปอย่างที่หวัง แต่สิ่งที่น่ากลัวยิ่งกว่าคือ “การที่ผู้บริหารประเทศไม่ได้ยินเสียงที่แท้จริงจากประชาชน” ความจริงสิ่งนี้ฝ่ายที่ถูกมองว่าเป็นพวกเห็นต่าง ได้สะท้อนมายังผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะเป็นระยะ หากตัดในส่วนที่หวังผลทางการเมือง สิ่งที่เป็นประโยชน์ก็มีอยู่จำนวนไม่น้อย
ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการเฝ้าระวังคลัสเตอร์ใหญ่จากแรงงานต่างด้าวผิดกฎหมาย ซึ่งปรากฏให้เห็นแล้วผ่านตลาดกลางกุ้งสมุทรสาคร จนกระทั่งเรื่องสำคัญอย่างยิ่งคือวัคซีน ที่แทบจะทุกฝ่ายต่างเห็นพ้องต้องกัน ไม่ควรจะแทงม้าตัวเดียว และควรจะเร่งรีบประสานจัดหานำเข้าวัคซีนมาสต๊อกไว้เพื่อรองรับสถานการณ์การระบาดที่คาดไม่ถึง ซึ่งควรดำเนินการตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา แต่ว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะทำหูทวนลม หลงใหลได้ปลื้มไปกับคำเยินยอเรื่องการป้องกันที่ดีของไทยจากการระบาดระลอกแรก
อย่างที่ นพดล ปัทมะ ว่า ชะตากรรมของพี่น้องคนไทยไม่ควรต้องเสียชีวิตข้างถนน หรือในบ้านโดยไม่ได้รับการรักษา ครอบครัว เด็กเล็กที่เสียพ่อแม่ไปต่อหน้าต่อตา คนที่หิวโหยเพราะตกงานและการปิดกิจการ พี่น้องที่ต้องกระเสือกกระสนเบียดเสียดรอฉีดวัคซีน ความทุกข์ที่บรรยายไม่หมดทั้งหลายเหล่านี้ไม่ควรเกิดถ้ารัฐบาลมีความสามารถหาวัคซีนได้มากและประชาชนได้ฉีดเร็วกว่านี้ สิ่งนี้คือเฟคนิวส์หรือความกลวง กะล่อน ไร้วุฒิภาวะ ไร้วิสัยทัศน์ของผู้นำกันแน่