ORI ส่ง “บริทาเนีย” ยื่นไฟลิ่งขายไอพีโอ 252.65 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายธุรกิจ

ORI เผยบริษัทย่อย "บริทาเนีย" ยื่นไฟลิ่งขาย IPO จำนวน 252.65 ล้านหุ้น ระดมทุนขยายธุรกิจ, ชำระเงินกู้ยืม และเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ


บริษัท ออริจิ้น พร็อพเพอร์ตี้ จำกีด (มหาชน) หรือ ORI เปิดเผยว่า ในวันที่ 30 กรกฎาคม 2564 บริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน) หรือ BRI ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ ได้ยื่นแบบแสดงรายการข้อมูลการเสนอขายหลักทรัพย์และร่างหนังสือชี้ชวนเพื่อเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปครั้งแรก ต่อสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) เรียบร้อยแล้ว

ทั้งนี้ BRI จะเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนจำนวนไม่เกิน 252,650,000 หุ้น คิดเป็นไม่เกินร้อยละ 29.6 ของจำนวนหุ้นสามัญที่ออกและเรียกชำระแล้วทั้งหมดของบริษัทฯ ภายหลังการเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในครั้งนี้ โดยจะเข้าซื้อขายในตลาด SET หมวดธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ โดยมี บล.กสิกรไทย และ บล.หยวนต้า (ประเทศไทย) เป็นที่ปรึกษาทางการเงิน และเป็นผู้จัดการการจัดจำหน่ายและรับประกันการจำหน่าย

โดยภายใต้แผนการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO) นี้ BRI จะออกและเสนอหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่น ๆ รวมทั้งเสนอขายใบสำคัญแสดงสิทธิ ซึ่งมีหุ้นที่จัดสรรไว้รองรับการใช้สิทธิตามใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของ BRIและ/หรือ บริษัทย่อยของ BRI (ESOP Warrant) รวมทั้งหมดคิดเป็นจำนวนไม่เกินร้อยละ 30 ของทุนชำระแล้วทั้งหมดของ BRI ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิ ESOP Warrant (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน)

ในการนี้ภายใต้แผนการ Spin-Off BRI มีแผนการในการจัดสรรหุ้นสามัญเพิ่มทุนเพื่อเสนอขายให้แก่ประชาชนทั่วไป และผู้ลงทุนประเภทอื่น ๆ ซึ่งรวมถึง ผู้ถือหุ้นสามัญของบริษัทฯ เฉพาะกลุ่มที่มีสิทธิได้รับจัดสรรหุ้น (Pre-emptive Offering)และการออกหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใบสำคัญแสดงสิทธิให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือ พนักงานของ BRI และ/หรือ บริษัทย่อยของ BRI ซึ่งในรายละเอียดจะได้มีการกำหนดต่อไป

นอกจากนี้จะมีการออกและเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนบางส่วนให้แก่กรรมการ ผู้บริหาร และ/หรือพนักงานของบริษัทฯ และ/หรือ บริษัทย่อยของบริษัทฯ จำนวนไม่เกิน 13,470,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท

โดยภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนในครั้งนี้ และบริษัทฯ จะยังคงเป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ใน BRI ในสัดส่วนไม่ต่ำกว่าร้อยละ 70 ของทุนชำระแล้วของ BRI ภายหลังการเสนอขายหุ้นสามัญหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนทั่วไปเป็นครั้งแรก (IPO) และการใช้สิทธิ ESOP Warrant (ภายใต้สมมติฐานว่ามีการจองซื้อหุ้นสามัญเพิ่มทุนและการใช้ตามใบสำคัญแสดงสิทธิทั้งจำนวน) โดย BRIจะยังคงมีสถานะเป็นบริษัทย่อยของบริษัทฯ เช่นเดิมต่อไป

ในเบื้องต้น BRI มีวัตถุประสงค์การใช้เงินที่ได้รับจากการเสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนต่อประชาชนเป็นครั้งแรก (IPO)เพื่อใช้เป็นเงินทุนสำหรับการพัฒนาโครงการและ/หรือ การขยายธุรกิจและ/หรือ  เพื่อชำระเงินกู้ยืม และ/หรือ เพื่อเป็นเงินทุนหมุนเวียนในกิจการ

บริษัทฯ มีนโยบายจ่ายเงินปันผลให้แก่ผู้ถือหุ้นไม่น้อยกว่าร้อยละ 40 ของกำไรสุทธิตามงบการเงินเฉพาะกิจการหลังหักภาษีเงินได้นิติบุคคลและหลังหักสำรองต่าง ๆ ทุกประเภทที่กฎหมายและบริษัทฯ กำหนดไว้ในแต่ละปี

สำหรับบริษัท บริทาเนีย จำกัด (มหาชน)  (เดิมชื่อว่า บริษัท ออริจิ้น เฮ้าส์ จำกัด) ก่อตั้งขึ้นโดย ORI ซึ่ง มีสัดส่วนการถือหุ้นในบริษัทฯ คิดเป็นร้อยละ 99.99 โดยบริษัทฯ ถือเป็นบริษัทแกนนำหลัก (Flagship Company) ของกลุ่ม ORI ทั้งนี้ ในการดำเนินธุรกิจเพื่อประกอบธุรกิจพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ประเภทที่อยู่อาศัยแนวราบในประเทศไทยภายใต้ 4 แบรนด์หลัก ซึ่งแบ่งตามกลุ่มลูกค้าเป้าหมายและรูปแบบของโครงการ ได้แก่ (1) แบรนด์ “เบลกราเวีย” (2) แบรนด์ “แกรนด์ บริทาเนีย” (3) แบรนด์ “บริทาเนีย” และ (4) แบรนด์ “ไบรตัน” ซึ่งได้รับผลตอบรับที่ดีจากผู้บริโภค เนื่องจากบริษัทฯ มีความโดดเด่นด้านการออกแบบบ้าน พื้นที่ใช้สอยภายในบ้าน รูปแบบโครงการ และสิ่งอำนวยความสะดวกภายในโครงการ ให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคยุคใหม่อย่างแท้จริง

โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯ สามารถปิดโครงการแล้ว จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 2,028 ล้านบาท มีโครงการที่อยู่ระหว่างการขายและโอนกรรมสิทธิ์จำนวน 13 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 17,550 ล้านบาท โครงการที่อยู่ระหว่างการพัฒนา จำนวน 8 โครงการ มูลค่าโครงการรวมประมาณ 7,000 ล้านบาท และโครงการในอนาคต จำนวน 1 โครงการ มูลค่าโครงการประมาณ 1,400 ล้านบาท

ส่วน ณ วันที่ 29 กรกฏาคม 2564 โครงสร้างการถือหุ้นของบริษัทฯ ผู้ถือหุ้นใหญ่ได้แก่ ORI ถือ 100% หลังขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนและใช้สิทธิใบสำคัญแสดงสิทธิ จะลดเหลือ 70%

ทั้งนี้บริษัทฯ มีรายได้รวมในปี 2561 – 2563 จำนวน 515.47 ล้านบาท 1,561.01 ล้านบาท และ 2,342.09 ล้านบาท และในงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 และ ปี 2564 จำนวน 541.02 ล้านบาท และ 835.77 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตอย่างต่อเนื่องในแต่ละปีตามแผนการขยายโครงการของบริษัทฯ โดยคิดเป็นอัตราการเติบโตเฉลี่ยสะสมต่อปี (Compound Annual Growth Rate: CAGR) ในปี 2561  2563 อยู่ที่ร้อยละ 113.16 ต่อปี

ส่วนกำไรสุทธิ ในปี 2561 – 2563 จำนวน 71.65 ล้านบาท 207.14 ล้านบาท และ 348.72 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 13.90 ร้อยละ 13.27 และร้อยละ 14.89 จากรายได้รวม ตามลำดับ

สำหรับงวด 3 เดือนแรกของปี 2563 และปี 2564 กำไรสุทธิของบริษัทฯ อยู่ที่จำนวน 87.33 ล้านบาท และ 130.68 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรสุทธิร้อยละ 16.14 และร้อยละ 15.64 จากรายได้รวม ตามลำดับ โดยกำไรสุทธิที่เพิ่มขึ้นสอดคล้องกับรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ที่เพิ่มขึ้นตามแผนขยายโครงการ ซึ่งเป็นรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์รายไตรมาสที่สูงที่สุดตั้งแต่เริ่มมีการรับรู้รายได้ของบริษัทฯ ทั้งนี้ อัตรากำไรสุทธิลดลงเล็กน้อย สาเหตุหลักจากบริษัทฯ ทำการปรับกลยุทธ์เพื่อให้ราคาอยู่ในระดับที่สามารถแข่งขันกับบริษัทคู่แข่งได้ เพื่อกระตุ้นยอดขายในช่วงเศรษฐกิจชะลอตัวจากผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19

โดย ณ วันที่ 31 มีนาคม 2564 บริษัทฯ มีสินทรัพย์รวมจำนวน 7,577.92 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 542.97 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้นร้อยละ 7.72 จาก ณ สิ้นปี 2563  มีหนี้สินรวมจำนวน 6,519.09  ล้านบาท เพิ่มขึ้นจำนวน 412.14 ล้านบาท หรือคิดเป็นร้อยละ 6.75 จาก ณ สิ้นปี 2563 และส่วนของผู้ถือหุ้นของบริษัทฯ มีจำนวน 1,058.83 ล้านบาท

Back to top button