พาราสาวะถี
วันพรุ่งนี้ (7 สิงหาคม) จะเป็นบทพิสูจน์ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่องการห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ฉบับที่ 9 ที่มีผลมาตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา โทษจำคุก 2 ปีปรับ 4 หมื่นบาท จะขู่คาร์ม็อบที่นัดรวมตัวกันเพื่อไล่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่
วันพรุ่งนี้ (7 สิงหาคม) จะเป็นบทพิสูจน์ ประกาศหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง เรื่องการห้ามชุมนุม การทำกิจกรรม การมั่วสุม ที่ก่อให้เกิดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 หรือโควิด-19 ฉบับที่ 9 ที่มีผลมาตั้งแต่วันที่ 3 สิงหาคมที่ผ่านมา โทษจำคุก 2 ปีปรับ 4 หมื่นบาท จะขู่คาร์ม็อบที่นัดรวมตัวกันเพื่อไล่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจได้หรือไม่
แน่นอนว่า การใช้อำนาจดังกล่าวที่ลงนามโดย พลเอกเฉลิมพล ศรีสวัสดิ์ ผู้บัญชาการทหารสูงสุดในฐานะหัวหน้าผู้รับผิดชอบในการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉินในส่วนที่เกี่ยวข้องกับความมั่นคง ก็เพื่อที่จะหลีกเลี่ยงข้อครหาว่ารัฐบาลโดยเฉพาะผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจคงการใช้พ.ร.ก.ฉุกเฉินไว้ต่อไปเพื่อหวังผลสกัดกั้นกลุ่มเห็นต่างทางการเมืองมากกว่าใช้ป้องกันการระบาดของโควิด-19
แต่ภายในสถานการณ์การระบาดที่ตัวเลขผู้ติดเชื้อทำนิวไฮทุกวันไม่รู้ว่าจะไปแตะหลัก 3-4 หมื่นรายต่อวันหรือไม่ ก็เป็นเหตุผลที่พอจะเข้าใจได้ต่อการออกคำสั่งควบคุมการรวมตัวกันจำนวนมากที่อาจเป็นสาเหตุของการแพร่ระบาดได้ ทว่าการที่กลุ่มเคลื่อนไหวนัดหมายชุมนุมในลักษณะคาร์ม็อบ ก็เพื่อหลีกเลี่ยงการรวมตัวในลักษณะสัมผัสใกล้ชิดกันเป็นวิธีการป้องกันตัวแบบหนึ่ง ขณะเดียวกันแม้จะมีการรวมกันจำนวนมากแต่ก็มีมาตรการป้องกันอย่างเข้มงวด
หากใช้บทเรียนจากการชุมนุมตั้งแต่ปีที่แล้วมาจนถึงก่อนที่จะเกิดการระบาดใหญ่ เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่เคยมีการแพร่เชื้อโควิด-19 จากการชุมนุมแม้แต่น้อย ต้นตอของการระบาดโดยเฉพาะสองหนหลังจนกระทั่งมาถึงปัจจุบันนี้ เกิดจากความบกพร่อง ผิดพลาดของฝ่ายที่กุมอำนาจทั้งสิ้น ยิ่งหนล่าสุด งามไส้ต่อกรณีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมติดโควิดจากสถานบันเทิงย่านทองหล่อ
ในเหตุผลของภาครัฐหรือข้ออ้างฝ่ายความมั่นคงที่ห้ามการชุมนุมเพราะเกรงจะเป็นจุดแพร่เชื้อขนาดใหญ่นั้น คนจำนวนหนึ่งอาจคล้อยตามยิ่งพวกกองเชียร์ไม่ลืมหูลืมตาไม่ต้องพูดถึง แต่คนอีกจำนวนไม่น้อยก็สนับสนุนให้มีการออกมาเคลื่อนไหว ในเมื่อการแก้ปัญหาของผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจและคณะ ยิ่งนานวันยิ่งทำให้เห็นว่าไม่มีปัญญาที่จะควบคุมสถานการณ์ได้ โดยเฉพาะวัคซีนยิ่งเป็นสิ่งที่สัมผัสจับต้องได้ยากสำหรับคนส่วนใหญ่
ฟังการให้สัมภาษณ์แบบถอดใจของ นายแพทย์บุญ วนาสิน เรื่องยกธงขาวในความพยายามหาวัคซีน mRNA มาเป็นทางเลือกให้กับประชาชนแล้ว เพราะไม่มีองค์กรภายในประเทศที่จะเป็นตัวกลางในการจัดซื้อนำเข้ามาให้ พอจะเข้าใจได้ การตั้งการ์ดสูงอ้างโน่นอ้างนี่สารพัด สุดท้าย จึงทำให้การเข้าถึงวัคซีนของคนในประเทศเป็นเรื่องลำบากและยังไม่มีการสร้างทางเลือกให้กับประชาชนอีกต่างหาก
การจะอ้างว่าก็มีการลงนามที่จะจัดซื้อวัคซีนไฟเซอร์เพื่อมาเป็นตัวเลือกให้กับประชาชนอีกตั้ง 20 ล้านโดส แต่วัคซีนดังว่าจะถูกจัดส่งมาให้กับประเทศไทยเมื่อไหร่ และไม่ใช่ส่งมาทีเดียวทั้งหมด ต้องทยอยส่งมาเป็นล็อต ซึ่งมันไม่ทันต่อสถานการณ์ที่เป็นอยู่ แต่ดูเหมือนว่าผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจไม่ได้รู้ร้อนรู้หนาวต่อสิ่งที่เกิดขึ้น ยังคงปล่อยให้มีการฉีดวัคซีนกันตามยถากรรม ดำเนินการตามจำนวนเท่าที่มี
จะด้วยข้ออ้างที่ว่ามันมีอยู่เท่านี้แล้วจะให้ทำอย่างไร ดิ้นรนเต็มที่แล้วมันก็ได้แค่เท่านี้ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่ได้เห็นความพยายามดังว่านั้น และมองไม่เห็นวิสัยทัศน์อันแหลมคมใด ๆ จากผู้นำประเทศ ขนาดวัคซีนเข็มสามที่เป็นแอสตร้าเซนเนก้า ยังมีปัญหาเรื่องเด็กเส้น คนที่เป็นกองเชียร์และผู้เล่นงานฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลแย่งคิวด่านหน้าฉีดก่อน จนทำเป็นพวกอย่างหนาไม่ไหวต้องสั่งสอบแก้เก้อกันไล่ไปตั้งแต่ผู้ว่าราชการจังหวัดจนถึงฝ่ายที่เกี่ยวข้อง
ต้องคอยดูวัคซีนบริจาคอย่างไฟเซอร์ที่กำหนดกฎ กติกาเรียบร้อย และกรมควบคุมโรคจะทยอยส่งให้กับบุคลากรทางการแพทย์และสาธารณสุขด่านหน้าตั้งแต่สัปดาห์นี้ จะมีพวกวีไอพีหลุดลอดมาแย่งอีกหรือไม่ ซึ่งคงเป็นไปได้ยากหากจะทำต้องเงียบที่สุด แต่งานนี้มีการเคลื่อนไหวตรวจสอบกันในหมู่บุคลากรด่านหน้าที่เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายกันเต็มที่ คงเล็ดลอดยาก หากเกิดขึ้นอีก ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจควรจะพิจารณาตัวเอง
ระบบเจ้าขุนมูลนาย ประเภทอยู่บ้านพักหลวง อ้างว่าจ่ายค่าน้ำค่าไฟเอง แต่ไม่ปรากฏรายชื่อผู้พักอาศัย และหน่วยงานที่ดูแลเรื่องไฟฟ้า น้ำประปา ไม่สามารถชี้แจงได้ว่า บ้านเลขที่ที่ผู้นำเผด็จการสืบทอดอำนาจพักอาศัยหลังเกษียณ มีการจ่ายค่าน้ำค่าไฟโดยใคร เท่านี้ก็ทำให้เห็นแล้วว่าแค่เรื่องเล็ก ๆ ที่ไม่มีอะไรซับซ้อนยังทำให้โปร่งใสไม่ได้ นับประสาอะไรกับเรื่องสำคัญอื่น ๆ จะหมกเม็ด ปกปิดกันขนาดไหน โทษใครไม่ได้ในเมื่อองค์กรที่เกี่ยวข้องทั้งหลายต่างพร้อมใจทำตัวเป็นสากกะเบืออยู่ใต้อุ้งตีนผู้มีพระคุณ