AWC โกยรายได้ Q2 กว่า 1.5 พันลบ. มุ่งกลยุทธ์บริหารการเงิน – ขยายลงทุนเพิ่มมูลค่าธุรกิจ

AWC เชื่อมั่นปลายปีอุตสาหกรรมท่องเที่ยวและเศรษฐกิจไทยจะฟื้นตัวดีขึ้น เร่งแผนเชิงรุกในการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ พร้อมเดินหน้าลงทุนในธุรกิจที่สร้างโอกาสในการทำรายได้ เจาะลูกค้ากลุ่มใหม่ สร้างผลกำไรและกระเเสเงินสดในการดำเนินงาน


นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร และกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เผยผลประกอบการไตรมาส 2/2564 ซึ่งบริษัทได้เปลี่ยนเเปลงนโยบายบัญชี ในการวัดมูลค่าอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน เป็นวิธีมูลค่ายุติธรรม เพื่อสะท้อนมูลค่าที่เเท้จริงยิ่งขึ้น

โดยไตรมาส 2 บริษัทมีรายได้รวม 1,546 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 94.6 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน ขาดทุน 198 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาส 2 ปีนี้ ภาครัฐอนุญาตให้เดินทางช่วงสงกรานต์ได้ ทำให้บริษัทมีรายได้เพิ่มสูงขึ้น ต่างจากช่วงเทศกาลปีก่อนที่รัฐจำกัดการเดินทาง

โดยในครึ่งปีเเรก กลุ่มธุรกิจบริการและโรงเเรม (Hospitality) ได้รับผลกระทบโดยตรงจากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติไม่สามารถเข้ามาท่องเที่ยวในประเทศได้ อย่างไรก็ตามบริษัทสามารถรักษาระดับอัตราการเข้าพัก (Occupancy Rate) ได้ในระดับน่าพอใจ เท่ากับ 15.91% ในไตรมาส 2/2564 ซึ่งสูงกว่าไตรมาส 2/2563 ที่ระดับ 5.71% และรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RGI index) อยู่ที่ 125.3 สูงกว่าค่าเฉลี่ยของตลาดในระดับเดียวกันได้ โดยเฉพาะอย่างเช่น โรงแรม เลอ เมอริเดียน กรุงเทพ มีค่า RGI อยู่ที่ 322.4 โรงแรม เลอ เมอริเดียน เชียงใหม่ มีค่า RGI อยู่ที่ 249.6 โรงแรม บันยันทรี กระบี่ มีค่า RGI อยู่ที่ 217.3 และโรงแรม แบงค็อกแมริออท เดอะ สุรวงศ์ ซึ่งมีค่า RGI เท่ากับ 216.3 ในขณะที่ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการพาณิชย์

ประกอบไปด้วยธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพื่อการค้าและธุรกิจอาคารสำนักงาน (Retail & Commercial) อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy Rate) ของอาคารสำนักงานเกรด A ยังอยู่ในระดับสูง ส่งผลให้ EBITDA ของกลุ่มธุรกิจ Retail & Commercial ในไตรมาส 2/2564 เท่ากับ 1,094 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 101.5 เมื่อเทียบกับไตรมาส 2/2563 ทำให้บริษัทสามารถสร้างโอกาส และรักษาการเติบโตของ EBITDA ได้อย่างมั่นคง ตอกย้ำกลยุทธ์กระจายความเสี่ยงของพอร์ททรัพย์สิน ลดความผันผวนของระดับรายได้

นอกจากนี้บริษัทยังเน้นการเพิ่มมูลค่าและพัฒนามาตรฐานทรัพย์สิน พร้อมให้ความสำคัญกับ “ความแข็งแกร่งทางการเงินและการลงทุน” ทั้งการจัดวงเงินสินเชื่อเพื่อการลงทุนและเสริมสภาพคล่องอย่างเพียงพอ การกำหนดนโยบายและวินัยการลงทุนที่ชัดเจน เน้นธุรกิจและทรัพย์สินที่สามารถสร้างกระเเสเงินสดได้ก่อน รับรู้ EBITDA ได้เร็ว และมีผลตอบแทนตามเกณฑ์การลงทุนตามเป้า รวมทั้งนโยบายในการรักษาระดับความมั่งคั่ง (Wealth Preservation) เพิ่มมูลค่าสินทรัพย์อย่างมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลสูงสุด

“เราเชื่อมั่นว่าการท่องเที่ยวและธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในไทย จะเริ่มฟื้นตัวได้ในช่วงปลายปี เมื่อแผนการกระจายฉีดวัคซีนครอบคลุมทั่วประเทศ และสถิติการเเพร่ระบาดน้อยลง ช่วงนี้จึงเป็นโอกาสของบริษัทในการเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่งในทุกด้าน เพื่อเตรียมความพร้อมเมื่อสถานการณ์กลับสู่ภาวะปกติ ให้ AWC สามารถเติบโตได้อย่างก้าวกระโดดต่อไป” นางวัลลภา กล่าว

ทั้งนี้ในไตรมาสที่ 2 บริษัทไม่ได้หยุดนิ่ง โดยยังคงเดินหน้าลงทุนมองหาโอกาสธุรกิจใหม่ๆ อยู่เสมอ เพื่อพัฒนามาตรฐานและสร้างมูลค่าเเบรนด์ในระยะยาว รวมการลงนามกับ IHG พันธมิตรโรงแรมระดับโลก เพื่อร่วมกันบริหารโรงแรมเเละรีสอร์ท การร่วมมือกับ Nobu Hospitality แบรนด์ไลฟ์สไตล์สุดหรูระดับโลก การสร้างพันธมิตรกับแบรนด์สายแฟชั่นกูตูร์ การผสานแผนธุรกิจที่หลากหลายสร้างรายได้จากลูกค้ากลุ่มใหม่ๆ รวมทั้งการพัฒนาแอพพลิเคชั่น AWC Connext ให้เป็นแพลตฟอร์มที่ตอบโจทย์การใช้จ่ายและใช้ชีวิตไร้ขีดจำกัดผ่านโปรแกรม AWC Infinite Lifestyle ที่สะดวกยิ่งขึ้นสำหรับทุกคน

นางวัลลภา ยังกล่าวถึงโจทย์สำคัญในปีนี้ นอกจากการสร้างความเเข็งเเกร่งทางธุรกิจแล้ว บริษัทยังมุ่งเน้นเพื่อ “การพัฒนาอย่างยั่งยืน” โดยเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา AWC ได้รับเชิญเข้าร่วมประเมินรายชื่อหุ้นยั่งยืน (SET THSI) ประจำปี 2564 ในกลุ่มอุตสาหกรรมอสังหาริมทรัพย์และการก่อสร้าง โดยรวบรวมข้อมูล กระบวนการ และประสิทธิภาพการดำเนินงานด้านความยั่งยืนทั้ง 3 มิติ คือเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม ใน 20 หมวดคำถามต่อตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย อีกทั้งประเมินความเสี่ยงครอบคลุมในทุกวิกฤต พร้อมพัฒนาแผนการกำกับกิจการที่ดี รักษาความเป็นผู้นำผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ของไทย พร้อมต่อยอดในระดับสากล

“การดำเนินธุรกิจในยุค COVID-19 เป็นความท้าทายมากที่สุด เราต้องมุ่งเน้นทั้งการสร้างกำไรและกระเเสเงินสดระยะสั้น ควบคู่การสร้างคุณค่าธุรกิจเพื่อการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ซึ่งเป็นประโยชน์กับทั้งบริษัท พนักงาน และนักลงทุนทุกคน” นางวัลลภา กล่าว

Back to top button