PSL พุ่งแรง 8% รับ Q2 พลิกกำไร 826 ลบ. โบรกฯชี้ทั้งปีโกยกว่า 3 พันลบ.
PSL พุ่งแรง 8% อานิสงส์ไตรมาส 2 พลิกมีกำไร 826 ล้านบาท โบรกฯมองกำไรปีนี้แตะ 3.10 พันลบ. จากค่าระวางยังสูงในครึ่งปีหลัง ยังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 26 บ.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่าวันนี้ (13 ส.ค. 2564) ราคาหุ้นบริษัท พรีเชียส ชิพปิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ PSL ณ เวลา 10.59 น. อยู่ที่ระดับ 24.90 บาท เพิ่มขึ้น 1.90 บาท หรือ 8.26% โดยทำจุดสูงสุดที่ 24.90บาท และทำจุดต่ำสุดที่ 23.40 บาท ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 819.22 ล้านบาท
โดยราคาหุ้นบนกระดานของ PSL ยังคงปรับตัวขึ้นตอบรับผลการดำเนินงานออกมาอย่างแข็งแกร่ง โดยรายงานผลการดำเนินงานไตรมาส 2 สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทฯมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 1,971.62 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 700.47 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทฯพลิกมีกำไรสุทธิ 826.31 ล้านบาท หรือ 0.53 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1,183.07 ล้านบาท หรือ 0.76 บาทต่อหุ้น
ทั้งนี้เนื่องจากรายได้จากการเดินเรือสุทธิ (รายได้จากการเดินเรือสุทธิจากรายจ่ายท่าเรือและน้ำมันเชื้อเพลิง) ของไตรมาสสองปี 2564 เพิ่มขึ้นร้อยละ 192 เมื่อเปรียบเทียบกับไตรมาสสองของปี 2563 โดยสาเหตุหลักเนื่องมาจากรายได้เฉลี่ยต่อวันต่อลำเรือ เพิ่มขึ้นจาก 6,099 เหรียญสหรัฐในไตรมาสสองปี 2563 เป็น 17,841 เหรียญสหรัฐในไตรมาสสองปี2564 ซึ่งเป็นผลมา จากการที่ตลาดอัตราค่าระวางเรือขนส่งสินค้าแห้งเทกองฟื้นตัวขึ้น
ขณะที่ผลการดำเนินงานงวด 6 เดือน สิ้นสุดวันที่ 30 มิถุนายน 2564 บริษัทมีรายได้รวมขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3,327.36 ล้านบาท จากงวดเดียวกันของปีก่อน 1,762.93 ล้านบาท ส่งผลให้บริษัทพลิกมีกำไรสุทธิ 1,201.44 ล้านบาท หรือ 0.77 บาทต่อหุ้น จากงวดเดียวกันของปีก่อนขาดทุนสุทธิ 1,300.17 ล้านบาท
นอกจากนี้ บริษัทหลักทรัพย์ เคทีบีเอสที จำกัด (มหาชน) ระบุในบทวิเคราะห์ (10 ส.ค.2564) โดยมีมุมมองเป็นกลางต่อกระประชุม Analyst meeting วานนี้ (9 ส.ค.2564) ซึ่งบริษัทฯได้มีการจัด analyst meeting โดยประเด็นสำคัญ (1) มาตราการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลต่างๆ อาจยังคงหนุนให้ค่าระวางยังสูงต่อเนื่อง โดยคาดว่าอาจเริ่ม Peak Out ในช่วงไตรมาส 4/2564 / ไตรมาส 1/2565 (2) สายเดินเรือใหญ่ๆ เริ่มมีการทำสัญญา Fixed Contract ระยะยาว 2 ปี ที่ค่าระวางราว 23,000 – 24,000 ดอลลาร์ต่อวัน ด้าน PSL คาดว่าจะเริ่มทำสัญญา Fixed Contract มากขึ้นในไตรมาส 4/2564
อีกทั้ง (3) IMO ได้ตกลงที่จะอภิปรายในการ ประชุม MEPC77 ในเดือน พ.ย. 2564 ในการหาแนวทางแก้ไขในเรื่องกลไกตามตลาด (MBMs) เพื่อลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในการขนส่งทางทะเล ซึ่งอาจทำให้มีการ Scrap เรือลำเก่าๆ หรือต้องเดินเรือในความเร็วที่ลดลงตั้งแต่ปี 2566เป็นต้นไป
ขณะเดียวกันทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินกำไรสุทธิปี 2564 ที่ 3.10 พันล้านบาท โดยหลักๆ มาจาก (1) รายได้ที่ 8.30 พันล้านบาท ด้วย Assumption TC rate ที่ 19,164 ดอลลาร์ต่อวัน (เทียบกับนับจากต้นปีมาถึงช่วงเวลาปัจจุบัน TC rate ที่ 22,991 ดอลลาร์ต่อวัน) ซึ่งคาดว่าค่าระวางในครึ่งปีหลัง 2564 จะสูงกว่าเฉลี่ยในครึ่งปีแรก 2564 (2) อัตราแลกเปลี่ยนเงินบาทอ่อนค่าจะกระทบต่อรายได้ที่เข้ามาเป็นดอลลาร์ อย่างไรก็ตามจะมีค่าใช้จ่ายบางส่วนเป็น Natural Hedge บางส่วน(3) ประเมิน GPM ที่ 50.00% (ครึ่งปีแรก 2564 = 47.40%) เนื่องจากมองว่าค่าระวางยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่องทั้งในไตรมาส 3 และไตรมาส 4/2564
นอกจากนี้ทางฝ่ายวิจัยประเมินกำไรปี 2565 ที่ 1.81 พันล้านบาท จาก (1) รายได้ที่ 6.71 พันล้านบาท ด้วย Assumption TC rate ที่ 15,331 ดอลลาร์ต่อวัน (ลดลง 20%จากงวดเดียวกันของปีก่อน) (2) GPM ลดลงมาที่ 42% เนื่องจากมองว่าค่าระวางจะเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้น
อย่างไรก็ดีทางฝ่ายวิจัยได้ประเมินราคาเหมาะสมที่ 26.00 บาท อิงปี 2565 ค่า PER ที่ 22.00 เท่าโดยเอาอีกราคาเข้าเป้าหมายปี 2565 เนื่องจากมีมุมมองว่าค่าระวางจะ Peak Out ในช่วงไตรมาส 4/2564 / ไตรมาส 1/2565 และจะเริ่มเข้าสู่ระดับปกติมากขึ้นในปี 2565