ITEL วอลุ่มแน่น-บวกแรง 5% ลุ้นรายได้ปีนี้โตเด่น 30% ตุน Backlog แน่นกว่า 3.18 พันลบ.
ITEL วอลุ่มแน่น-บวกแรง 5% ลุ้นรายได้ปีนี้โตเด่น 30% ตุน Backlog แน่นกว่า 3.18 พันลบ. พร้อมจ่อเข้า SET เสริมความมั่นคงระยะยาว
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้(23 ส.ค.64) ราคาหุ้น บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL ณ เวลา 15.54 น. อยู่ที่ระดับ 4.56 บาท บวก 0.24 บาท หรือ 5.56% ด้วยมูลค่าซื้อขาย 193.23 ล้านบาท
นายณัฐนัย อนันตรัมพร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท อินเตอร์ลิ้งค์ เทเลคอม จำกัด (มหาชน) หรือ ITEL เปิดเผยว่า ภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้รวม 452.79 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2.04% เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อน (ไม่รวมรายการพิเศษ) และมีกำไรสุทธิ จำนวน 47.13 ล้านบาท เมื่อเทียบกับงวดเดียวกันของปีก่อนที่มีกำไรสุทธิหลังหักรายการพิเศษ 42.87 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.95%
โดยมีปัจจัยมาจากที่ บริษัทฯ สามารถผลักดันรายได้จากลูกค้าที่เข้ามาใช้งานบริการโครงข่ายได้เพิ่มมากขึ้น และสามารถรักษาฐานลูกค้าในปีก่อนไว้ได้ อันเนื่องมาจากประสิทธิภาพและเสถียรภาพของโครงข่าย การให้บริการที่เหนือกว่าคู่แข่งขันรายอื่นในตลาด
อีกทั้งยังรับรู้รายได้จากงานโครงการขนาดใหญ่หลายโครงการ เช่น การทยอยรับรู้รายได้การให้บริการโครงข่ายของโครงการอินเทอร์เน็ตความเร็วสูงในพื้นที่ห่างไกล (USO Phase 2) งานจ้างเหมา ออกแบบ จัดหา และติดตั้งเคเบิลใยแก้วนำแสงให้กับการไฟฟ้าส่วน เป็นต้น
คาดว่ารายได้รวมในปีนี้จะเติบโตประมาณ 20-30% ตามเป้าที่วางไว้ สร้างสถิติสูงสุดใหม่ นอกจากนี้ บริษัทฯ ยังสามารถบริหารจัดการด้านต้นทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยในไตรมาส 2/2564 นั้น มีทิศทางของอัตรากำไรขั้นต้นที่ดี อยู่ที่ 24.80% จึงมีผลให้กำไรสุทธิจากการดำเนินงานของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่อง
โดยในไตรมาส 2/2564 บริษัทฯ มีรายได้จากงานบริการโครงข่ายซึ่งถือเป็นรายได้หลักอยู่ที่ 321.35 ล้านบาท คิดเป็นสัดส่วน 73.38% ของรายได้จากการให้บริการ เทียบกับไตรมาส 2/2563 ที่มีรายได้ 273.29 ล้านบาท เป็นผลมาจากความต้องการใช้โครงข่ายเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วตามเทรนด์ของโลกยุคดิจิทัล รวมทั้งเมื่อเกิดสถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 ทำให้ภาครัฐและเอกชนต้องเร่งขยายการทำงานให้เพิ่มขึ้น เพื่อรองรับกระแส Work from Home รวมถึงการเปิดให้บริการโครงการอินเทอร์เน็ตในพื้นที่ห่างไกลที่ทยอยเปิดเพิ่มขึ้น ในไตรมาส 2/2564
อีกทั้งจากการที่บริษัทฯ สามารถรักษาฐานลูกค้าได้อย่างเหนียวแน่น และมีลูกค้าใหม่เพิ่มด้วยประสิทธิภาพและความเชื่อมั่นในเสถียรภาพของโครงข่ายรองลงมาเป็นการให้บริการติดตั้งโครงข่าย คิดเป็นสัดส่วน 22.01% ของรายได้จากการให้บริการ หรือมีรายได้อยู่ที่ 96.38 ล้านบาท ขณะที่รายได้จากการให้บริการดาต้า เซ็นเตอร์ คิดเป็นสัดส่วน 4.61% ของรายได้จากการให้บริการ หรือมีรายได้อยู่ที่ 20.19 ล้านบาท ปัจจุบันอัตราการเข้าใช้งานดาต้าเซ็นเตอร์เพิ่มขึ้นเป็น 95%
ปัจจัยที่สนับสนุนให้มีกำไรสุทธิปรับตัวเพิ่มขึ้น เนื่องจากบริษัทฯทยอยรับรู้รายได้จากงานในมือ(Backlog) ที่ตุนไว้กว่า 3,179 ล้านบาท ย้ำความเชื่อมั่นว่าผลประกอบการปี 2564 บริษัทฯ จะมีการเติบโตและจากงานที่ได้รับมาจะส่งผลดีต่อการใช้ประโยชน์ของโครงข่าย (Network Utilization) ที่จะเพิ่มขึ้น
โดยปัจจุบันบริษัทอยู่ระหว่างรอผลเสนองานกับการไฟฟ้าส่วนภูมิภาค และงาน Smart CCTV กับหน่วยงานราชการแห่งหนึ่ง อีกทั้งบริษัทฯ เตรียมเข้าเสนองานพัฒนาทักษะสร้างความรู้ด้านเทคโนโลยีสารสนเทศ สู่สังคมดิจิทัล เพื่อให้ประชาชนสามารถใช้งานระบบออนไลน์ได้ (Course Online) โดยจะอาศัยศูนย์บริการ USONET ที่อยู่ตามพื้นที่ห่างไกลและมีระบบอินเทอร์เน็ตและอุปกรณ์คอมพิวเตอร์ให้พร้อมรองรับนักเรียนที่จะมาใช้บริการ รวมถึงประชาชนในพื้นที่ใกล้เคียงโดยคาดว่าจะมีความชัดเจนในช่วงไตรมาส 3-4 ของปีนี้
“นายณัฐนัย กล่าวอีกว่า สำหรับไตรมาส 2/2564 นั้น บริษัทยังคงเดินหน้าเสนองานใหม่อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งเร่งนำความเชี่ยวชาญด้านเทคโนโลยีไฟเบอร์ออพติกมาพัฒนาโซลูชันใหม่ เช่น Smart CCTV, Drone &Anti-Drone เพื่อเพิ่มโอกาสการสร้างรายได้ในกลุ่มธุรกิจใหม่ๆ กระจายรายได้และสร้างความยั่งยืนในการเติบโต อีกทั้งหลังจากบริษัทปรับกลยุทธ์ New S-curve ส่งผลภาพรวมธุรกิจของ ITEL จะเข้าสู่ช่วงเติบโตอย่างก้าวกระโดด และสามารถสร้างโซลูชันที่ตอบโจทย์ลูกค้าทุกภาคส่วน จึงทำให้มีกองทุนต่างๆ สนใจลงทุนในบริษัทฯ
ดังนั้นจึงเป็นสาเหตุที่บริษัทเตรียมจะย้ายหลักทรัพย์ ITEL จากตลาดหลักทรัพย์ เอ็ม เอ ไอ (mai) เข้าซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) เพื่อเพิ่มขีดความสามารถในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งปัจจุบันอยู่ในกระบวนการทำเรื่องย้ายเข้าตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (SET) คาดจะดำเนินการได้ภายในไตรมาส 3/2564 นี้ โดยคาดหวังสัดส่วนกองทุนถือหุ้นเป็น 10-15% จากปัจจุบันประมาณ 8% เพื่อเสริมความแข็งแกร่งทางด้านฐานะทางการเงิน ให้เติบโต ต่อเนื่อง และยั่งยืน”