TEAMG พุ่งต่อ 17% โบรกฯ มองบวกลูก SCC ถือหุ้น 10% จับตาแผนร่วมมือเชิงธุรกิจ
TEAMG พุ่งต่อ 17% ราคาแตะ 3.22 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 424.44 ลบ. โบรกฯ แนะ “ซื้อ” มองบวกจากกรณี “Nexter Ventures” บริษัทลูก SCC ถือหุ้น 10% จับตาแผนร่วมมือเชิงธุรกิจ ปรับประมาณการกำไรปี 64-65 ขึ้น
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ราคาหุ้น บริษัท ทีม คอนซัลติ้ง เอนจิเนียริ่ง แอนด์ แมเนจเมนท์ จำกัด (มหาชน) หรือ TEAMG ล่าสุด ณ เวลา 10.17 น. อยู่ที่ 3.22 บาท บวก 0.46 บาท หรือ 16.67% สูงสุดที่ 3.22 บาท ต่ำสุดที่ 2.90 บาท ด้วยมูลค่าซื้อขาย 424.44 ล้านบาท
ทั้งนี้ ราคาหุ้นปรับตัวขึ้นอย่างต่อเนื่อง หลังการเข้าถือหุ้นของ บริษัท เน็กซเตอร์ เวนเจอร์ส จำกัด (Nexter Ventures) ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของบริษัท ปูนซิเมนต์ไทย จำกัด (มหาชน) หรือ SCC โดยเป็นการเข้าซื้อหุ้นจากกลุ่มผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ได้แก่ นายประเสริฐ ภัทรมัย, นายพีรวัธน์ เปรมชื่น, นายธนสาร ก้วยเจริญพานิชก์, นายกิตติพล บุลนิม และนายอิศรินทร์ ภัทรมัย จำนวนรวม 67,328,800 หุ้น คิดเป็นร้อยละ 9.90 ของจำนวนหุ้นที่ออกและจำหน่ายได้แล้วทั้งหมด ในราคา 2.54 บาท/หุ้น มูลค่ารวมกว่า 171 ล้านบาท โดยได้ทำการซื้อขายหลักทรัพย์รายใหญ่ (Big lot) ผ่านตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเมื่อวันที่ 7 กันยายน 2564
ด้าน บล.ดีบีเอส วิคเคอร์ส (ประเทศไทย) ระบุในบทวิเคราะห์ (8 ก.ย.2564) ว่าจากกรณี TEAMG ได้ผู้ถือหุ้นที่เป็น Strategic Partner อย่าง SCC เข้ามาถือหุ้น 9.9% ถือว่าเป็นข่าวบวกจากโอกาสที่จะดำเนินงานร่วมกันในอนาคต โดยเฉพาะงานโซลูชั่นด้านการก่อสร้างที่จะเป็นลักษณะของงานที่ใช้ โปรแกรม BIM การร่วมมือพัฒนาโครงการที่ใช้นวัติกรรมที่เป็นประโยชน์กับสิ่งแวดล้อม เปลี่ยนจากเดิมที่ SCC ขาย เฉพาะผลิตภัณฑ์ไปเป็นการขาย Solution เพิ่มขึ้น
รวมถึงการดำเนินงานที่สามารถลดของเสีย ซึ่งน่าจะหนุนรายได้และเสถียรภาพกำไรได้ในอนาคต แต่ในตอนนี้ยังไม่ได้มีเป้าหมายรายได้ โดยทาง SCC กลายมาเป็นผู้ถือหุ้นอันดับ 1 แต่กลุ่มผู้บริหารเดิมยังเป็นกลุ่มผู้ถือหุ้นที่มีสัดส่วนในการบริหารสูงเช่นเดิม ทาง SCC จะเข้ามาเป็นกรรมการ บริษัทด้วย 1 ท่านถือว่าเป็นปัจจัยบวก นอกจากนี้ราคาที่ซื้อยังสูงกว่าราคาปิดเมื่อวันที่ 7 ก.ย.2564 ที่ 3.2% ทำให้ระยะสั้นราคามีโอกาสตอบสนองเชิงบวกได้
ดังนั้นจึงยังคงแนะนำ “ซื้อ” โดยประเมินมูลค่าพื้นฐานโดยใช้ราคาพื้นฐานเลื่อนไปเป็นปี 2565 เพื่อสะท้อนสถานการณ์โควิดที่คลี่คลายกลับไปเป็นปกติ ราคาพื้นฐานอยู่ที่ 3.01 บาท (เดิมราคาพื้นฐานปี 2564 อยู่ที่ 2.68 บาท) ด้วย P/E ปี 2565 ที่ 15 เท่า แม้ว่าในระยะสั้นจะได้รับผลกระทบของสถานการณ์โควิด19 ส่งผลให้รายได้และกำไรในปีนี้ไม่เติบโตนัก แต่ยังเป็นโอกาสในปีหน้า
โดยประมาณการกำไรสุทธิปี 2564 เพิ่มขึ้น 1.2 % และปี 2565 เพิ่มขึ้น 12% ซึ่งยังไม่รวมประโยชน์จากการเข้ามาถือหุ้นของ SCC และในระยะกลางยังประเมินเชิงบวก บริษัทมีแนวโน้มทยอยลงทุนในธุรกิจสาธารณูปโภคในระยะ 5 ปี มีโอกาสหนุนเสถียรภาพของกำไรในอนาคต รวมถึงการกระจายการลงทุนของบริษัทไปยังธุรกิจที่เกี่ยวข้อง