บล.ไทยพาณิชย์ สุดเว่อร์! มองดัชนีหุ้นไทยปีหน้าถึง 1,800 จุด

บล.ไทยพาณิชย์ สุดเว่อร์! มองดัชนีหุ้นไทยปีหน้าถึง 1,800 จุด


นายอิสระ อรดีดลเชษฐ์ ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายกลยุทธ์การลงทุน สายงานวิจัย บล.ไทยพาณิชย์ เปิดเผยว่า สำหรับดัชนีตลาดหุ้นไทยคาดว่าจะแกว่งตัวผันผวนในไตรมาส 4/2558 เนื่องจากมีปัจจัยความไม่แน่นอนจากภายนอก โดยเฉพาะความแตกต่างในการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางประเทศสำคัญๆ ซึ่งสร้างแรงกดดันต่อความเชื่อมั่นของนักลงทุน

โดยคาดว่าดัชนีจะแกว่งไม่ต่ำกว่า 1,300 จุด แต่เชื่อว่าดัชนีมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นในกลางไตรมาส 4 เนื่องจากจะเริ่มเห็นความชัดเจนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด และ ตัวเลชเศรษฐกิจของไทยที่ชะลอตัวก่อนหน้านี้ จะค่อย ๆ เริ่มฟื้นตัว โดยคาดการณ์ ดัชนีหุ้นไทยในปลายปีนี้อยู่ที่ 1,450 จุด

อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าแรงส่งจากปลายไตรมาส 4/2558 ต่อเนื่องมาถึงปี 2559 โดยยังคงเป้าหมายดัชนีหุ้นไทยปีหน้าที่ 1,800 จุด ซึ่งมีโอกาสที่ดัชนีจะถึงระดับดังกล่าวได้ หากสหรัฐสามารถสื่อสารการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของสหรัฐให้ชัดเจน และมีผลเชิงบวกต่อเศรษฐกิจโลก ภาวะเศรษฐกิจโลกขยายตัวร้อยละ 3 และสภาพคล่องในระบบการเงินยังมีอยู่สูง เนื่องจากธนาคารกลางประเทศหลัก เช่น ญี่ปุ่น จีน มีแนวโน้มที่จะอัดฉีดสภาพคล่องเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่ม

ขณะที่ปัจจัยในประเทศ จะมีความชัดเจน ส่งผลให้เศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเฉพาะแผนการลงทุนภาครัฐ อีกทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นและระยะกลางที่ประกาศออกมาก่อนหน้านี้ จะส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจจริง รวมทั้งการฟื้นตัวของภาคธุรกิจท่องเที่ยวจะข่วยสนับสนุนการฟื้นตัวของการอุปโภคบริโภคภายในประเทศ ช่วยสนับสนุนให้ดัชนีหุ้นไทยปรับขึ้นตาม

สำหรับหุ้นกลุ่มที่น่าลงทุน คือ กลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่นกลุ่มค้าปลีก รับเหมาก่อสร้าง และด้านการท่องเที่ยวที่จะฟื้นตัว ส่วนกลุ่มที่ไม่น่าลงทุน คือ น้ำมัน ธนาคารพาณิชย์ และ กลุ่มสินค้าคงทน

ส่วนการขึ้นอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ หรือ เฟด จะมีผลกระทบต่อตลาดหุ้นไทย ไม่มาก ซึ่งตามปกติการขึ้นดอกเบี้ยจะส่งสัญญาณว่าเศรษฐกิจฟื้นตัว และการขึ้นดอกเบี้ยที่ผ่านๆ มา จะส่งผลกระทบต่อตลาดหุ้นเพียง 1 เดือน หลังจากนั้นจะมีแนวโน้มเชิงบวกมากขึ้นในระยะกลางเมื่อสถานการณ์ต่างๆ เริ่มชัดเจน และ เชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะต้านทางแรงกดดันจากเงินทุนต่างชาติไหลออกได้ค่อนข้างดี เพราะนักลงทุนสถาบันในประเทศมีบทบาทมากขึ้น และ นักลงทุนต่างชาติมีหุ้นเหลือให้ขายไม่มากนัก

 

Back to top button